แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรมศิลปากรได้ออกประกาศกำหนด “พระปรางค์วัดหน้าพระธาตุ ฯลฯ” เป็นโบราณสถาน แม้โจทก์จะบรรยายฟ้อง กล่าวว่า จำเลยทำลายกำแพงพระปรางค์วัดหน้าพระธาตุ แต่ก็บรรยายมาด้วยว่า กำแพงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของพระ ปรางค์ ดังนี้ เป็นเรื่องที่จะต้องนำสืบข้อเท็จจริงกัน เป็นราย ๆ ไปว่า กำแพงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของพระปรางค์หรือไม่ จะด่วนพิพากษายกฟ้อง เสียโดยวินิจฉัยว่า ตามประกาศมิได้กำหนดเอากำแพงพระปรางค์เป็นโบราณสถานด้วย นั้น ยังไม่ชอบ./
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยที่ ๑ บังอาจจัดให้มีการทำลายและทำให้บุบสลาย ซึ่งกำแพงพระปรางค์วัดหน้าพระธาตุ อันเป็น โบราณสถาน ส่วนจำเลยนอกนั้นบังอาจจงใจทำลายและทำให้บุบสลายซึ่งกำแพงพระปรางค์วัดหน้าพระธาตุ นั้น ซึ่งเป็น ส่วนหนึ่งของพระปรางค์วัดหน้าพระธาตุ ซึ่งอธิบดีกรมศิลปากรได้ทำบัญชีประกาศเป็นโบราณสถานแล้ว ตามสำเนา ประกาศท้ายฟ้อง. ฯลฯ ขอให้ลงโทษ.
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานและพิพากษาว่า ตามสำเนาประกาศท้ายฟ้องที่ว่าเป็นสำเนาบัญชีประกาศโบราณสถานนั้น คงมี แต่วัดพระนอนจักร์สีห์ และพระปรางค์หน้าวัดพระธาตุ ตำบลจักรสีห์ หามีพระปรางค์หน้าวัดพระธาตุ ตำบลจักรสีห์ดัง ที่โจทก์กล่าวในฟ้องไม่ (เข้าใจว่าพิมพ์ผิด ที่ถูกควรเป็นพระปรางค์วัดหน้า พระธาตุ ตำบลจักรสีห์) และโบราณสถานและ วัตถุโบราณที่ขึ้นบัญชีไว้นั้น ก็หาได้มีว่า กำแพง พระปรางค์หน้าวัดพระธาตุ เป็นโบราณสถานที่ทางการต้องการคุ้มครอง รักษาด้วยไม่ จึงพิพากษายกฟ้อง.
โจทก์อุทธรณ์,
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่.
จำเลยฎีกา,
ศาลฎีกาตรวจสำเนาแล้ว เมื่อโจทก์ได้อ้างอิงถึงประกาศเช่นนี้ ศาลย่อมตรวจสอบดูตามความจริงตามประกาศนั้นได้ ปรากฎว่าตามราชกิจจานุเบกษาที่โจทก์อ้าง กรมศิลปากรได้ประกาศเอา พระปรางค์วัดหน้าพระธาตุ ตำบลจักรสีห์เป็น โบราณสถาน จึงไม่แตกต่างกับฟ้องของโจทก์ ปัญหาต่อไปจึงมีว่า จำเลยได้ทำลายหรือทำให้บุปสลายซึ่งปรางค์วัดหน้า พระธาตุหรือไม่ แม้โจทก์จะกล่าวว่าจำเลยทำลายกำแพง แต่ก็บรรยายมาด้วยว่า กำแพงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของพระปรางค์ ศาลฎีกาเห็นว่ากำแพงจะเป็นส่วนหนึ่งของพระปรางค์หรือไม่ก็แล้วแต่ข้อเท็จจริงที่จะต้องสืบเป็นราย ๆ ไป หรืออีกนัย หนึ่งพระปรางค์อาจมีกำแพงเป็นส่วนควบก็ได้ หรือไม่มีก็ได้ เป็นกรณีที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป
พิพากษายืน