คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2748/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สมุดคู่ฝากบัญชีออมทรัพย์มีข้อความแสดงว่าผู้ฝากได้ฝากเงินไว้กับธนาคารย่อมเป็นหลักฐานแห่งการก่อตั้งสิทธิแก่ผู้ฝากที่จะเรียกถอนเงินฝากคืน หาใช่เพียงแต่เป็นหลักฐานแสดงฐานะของผู้ฝากไม่ การที่มิได้ทำขึ้นเพื่อใช้ถอนเงินฝากนั้นก็ไม่ทำให้ลักษณะของเอกสารเปลี่ยนแปลงไปจึงเป็นเอกสารสิทธิ การที่จำเลยทำปลอมสมุดคู่ฝากให้แก่ ก. และหนังสือรับรองว่าผู้นั้นเป็นพนักงานของธนาคาร ด้วยเจตนาเดียวกันที่จะใช้เป็นหลักฐานหลอกลวงเจ้าหน้าที่สถานกงสุลฯให้ออกหนังสือผ่านแดนให้แก่ผู้มีชื่อคนนั้น ไม่ว่าจำเลยจะปลอมเอกสารนั้นพร้อมกันหรือคนละคราว ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลอมจดหมายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด และสมุดคู่ฝากบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารกสิกรไทย จำกัด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานทำเอกสารปลอมและปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 และมาตรา 265 ลงโทษจำคุกทั้งสองกระทง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลย 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นางสาวกาญจนาได้ว่าจ้างจำเลยให้จัดการทำหนังสือผ่านแดน (วีซ่า) เพื่อเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาโดยนางสาวกาญจนามีเพียงหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ท) สำเนาทะเบียนบ้านและรูปถ่าย ต่อมาจำเลยกับพวกได้ร่วมกันทำปลอมสมุดคู่ฝากบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาพหลโยธิน ซึ่งมีชื่อนางสาวกาญจนาเป็นผู้ฝาก และหนังสือรับรองเป็นภาษาอังกฤษว่านางสาวกาญจนาเป็นพนักงานของธนาคารกสิกรไทย จำกัด ขึ้น และได้มอบเอกสารดังกล่าวให้นางสาวกาญจนา นางสาวกาญจนาได้นำไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่สถานกงสุลสหรัฐอเมริกา แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า สมุดคู่ฝากมีข้อความแสดงว่านางสาวกาญจนาได้ฝากเงินไว้กับธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาพหลโยธิน มีรายการฝากและถอนเงินหลายครั้ง คงเหลือยอดเงินสุดท้ายเป็นเงิน 143,658.35 บาท ย่อมเป็นหลักฐานแห่งการก่อตั้งสิทธิแก่นางสาวกาญจนาที่จะเรียกถอนเงินฝากคืน หาใช่เพียงแต่เป็นหลักฐานแสดงฐานะของนางสาวกาญจนาไม่ การที่มิได้ทำขึ้นเพื่อใช้ถอนเงินฝากนั้น ก็ไม่ทำให้ลักษณะของเอกสารเปลี่ยนแปลงไป เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9) จำเลยทำปลอมจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตาม มาตรา 265 แต่ปรากฏว่าจำเลยทำปลอมสมุดคู่ฝากและหนังสือรับรองด้วยเจตนาเดียวกันที่จะใช้เป็นหลักฐานหลอกลวงเจ้าหน้าที่สถานกงสุลสหรัฐอเมริกาให้ออกหนังสือผ่านแดนให้นางสาวกาญจนา ไม่ว่าจำเลยจะปลอมเอกสารนั้นพร้อมกันหรือคนละคราว ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม มาตรา 91

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด

Share