คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1524/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนทำสัญญา เจ้าพนักงานที่ดินได้เรียกจำเลยไปสอบถามรายการตามที่ปรากฏในแบบฟอร์ม แสดงว่าจำเลยได้ทราบตั้งแต่ในขณะนั้นแล้วว่าเป็นการทำสัญญาขายฝากที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้าง ไม่ใช่การจำนอง เป็นไปตามความประสงค์ของโจทก์และด้วยความสมัครใจของจำเลยเอง อันเป็นการกระทำไปอย่างปกติธรรมดา มิได้เกิดจากการใช้กลฉ้อฉลหรือเป็นการกระทำอันเป็นการอำพรางการจำนองที่ดิน การสั่งรวมพิจารณาคดีซึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณาเข้าด้วยกันนั้น แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดร้องขอ หากศาลชั้นต้นเห็นว่าการพิจารณาพิพากษาคดีเข้าด้วยกันจะเป็นการสะดวกแล้วก็มีอำนาจสั่งให้รวมพิจารณาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 28 ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเพิ่มขึ้น และให้โอกาสคู่ความทั้งสองฝ่ายเลื่อนคดีไปเพื่อเตรียมรูปคดีให้พร้อม เป็นการกระทำที่ชอบแล้ว

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนายสุเทพโจทก์ในสำนวนหลัง และให้ขับไล่นายสุเทพจำเลยและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาท กับห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไปตามฟ้องของนางปิยนาถโจทก์ในสำนวนแรก ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน นายสุเทพจำเลยฎีกาทั้งสองสำนวน

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ปัญหาแรกที่จะต้องวินิจฉัยมีว่าโจทก์ใช้กลฉ้อฉลหลอกให้จำเลยลงชื่อในสัญญาขายฝากบ้านและที่ดินพิพาทจริงหรือไม่ ปัญหานี้ ได้ความตามที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยได้ติดต่อขอกู้เงินจากโจทก์และโจทก์จะให้กู้เป็นจำนวน 889,000 บาท ในวันที่ 17 เมษายน 2522โจทก์จำเลยไปที่สำนักงานที่ดินจังหวัดลำปาง แล้วจำเลยได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายฝากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทมีกำหนดเวลาไถ่1 ปีแก่โจทก์ ซึ่งการไปทำสัญญาและจดทะเบียนขายฝากนี้ ฝ่ายจำเลยมีนางสุรีย์ภริยานายประสานน้องชายและนายวาทีทนายความของจำเลยพร้อมทั้งมีบุคคลอื่นอีกหลายคนไปด้วย ก่อนที่จะทำสัญญาดังกล่าวจำเลยว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้เรียกจำเลยไปสอบถามรายการตามที่ปรากฏในแบบฟอร์ม เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยได้ทราบตั้งแต่ในขณะนั้นแล้วว่าเป็นการทำสัญญาขายฝากที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้าง ไม่ใช่การจำนอง ฉะนั้นการทำสัญญาขายฝากดังกล่าวจึงเป็นไปตามความประสงค์ของโจทก์และด้วยความสมัครใจของจำเลยเอง อันเป็นการกระทำไปอย่างปกติธรรมดา ไม่มีทางที่จะรับฟังได้เลยว่า การทำสัญญาขายฝากระหว่างโจทก์จำเลยเกิดจากการใช้กลฉ้อฉลหรือเป็นการกระทำอันเป็นการอำพรางการจำนองที่ดิน ดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น” ฯลฯ

“ปัญหาข้อสุดท้ายในเรื่องที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรวมพิจารณาคดีสองสำนวนนี้เข้าด้วยกันโดยจำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาคดีเข้าด้วยกันโดยจำเลยไม่ได้ร้องขอ และไม่ให้โอกาสจำเลยสืบพยานหักล้างในประเด็นที่ศาลชั้นต้นสั่งเพิ่มเป็นการไม่ชอบ ทำให้จำเลยเสียเปรียบนั้นศาลฎีกาเห็นว่า การสั่งรวมพิจารณาคดีซึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณาเข้าด้วยกันนั้นแม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดร้องขอ หากศาลชั้นต้นเห็นว่าการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งสองสำนวนนี้เข้าด้วยกันจะเป็นการสะดวกแล้ว ก็มีอำนาจสั่งให้รวมพิจารณาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 28 ส่วนข้อที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเพิ่มขึ้นมานั้น ก็ได้ให้โอกาสคู่ความทั้งสองฝ่ายเลื่อนคดีไปเพื่อเตรียมรูปคดีให้พร้อมดังปรากฏรายละเอียดตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 4 กันยายน 2524 แล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”

พิพากษายืน ให้นายสุเทพจำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกาแทนนางปิยนาถโจทก์ในสำนวนแรก 400 บาท กับในสำนวนหลัง 2,000 บาท

Share