คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1836/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพาณิชย์และที่ดินพร้อมกับชำระเงินงวดที่ 1 เมื่อการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ชั้นล่างแล้วเสร็จและกำลังก่อสร้างชั้นที่สอง ซึ่งตามผลงานก่อสร้างดังกล่าวสัญญาได้ระบุไว้ว่าต้องชำระเงินงวดที่ 2และงวดต่อไปแล้ว แต่ปรากฏว่าจำเลยก่อสร้างอาคารพาณิชย์นั้นต่อไปอีกประมาณ 7 วันก็หยุดการก่อสร้าง และทิ้งค้างไว้เนื่องจากเหตุขัดข้องอย่างอื่นที่มิใช่เพราะโจทก์ผิดนัดไม่ชำระราคาเป็นเวลานานกว่า 1 ปีจนกระทั่งโจทก์ฟ้องคดีก็ยังไม่ก่อสร้างต่อ และจำเลยก็มิได้ทวงถามให้โจทก์ชำระเงินงวดที่ 2 และงวดต่อๆ ไป ดังนี้ ถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา
การที่โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในอาคารพาณิชย์และที่ดินเนื่องจากจำเลยผิดสัญญา และโจทก์จะต้องซื้ออาคารพาณิชย์และที่ดินรายใหม่ในราคาสูงขึ้นกว่าเดิมนั้น ถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยตามจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจากราคาเดิมที่ตกลงในสัญญาได้ และค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องนี้ก็มิใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษแต่เป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ซึ่งแม้โจทก์จะยังมิได้ซื้ออาคารพาณิชย์และที่ดินใหม่ และไม่เป็นที่แน่นอนว่าโจทก์จะต้องเสียเงินเพิ่มเท่าไร ศาลก็มีอำนาจกำหนดจำนวนเงินค่าเสียหายให้โจทก์ตามควรแก่พฤติการณ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นเจ้าของและผู้ดำเนินการก่อสร้างอาคารขายแก่ประชาชน จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจะขายอาคารพาณิชย์ ๑ คูหาพร้อมที่ดินให้แก่โจทก์และรับเงินมัดจำไปแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ดังกล่าวเป็นการผิดสัญญา ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองคืนมัดจำและใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ หยุดการก่อสร้างเพราะโจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระราคาที่ดินและอาคาร จึงไม่ต้องคืนมัดจำส่วนค่าเสียหายที่โจทก์ต้องซื้อตึกแถวในราคาสูงขึ้นเป็นค่าเสียหายอันเกิดจากพฤติการณ์พิเศษที่จำเลยที่ ๑ มิได้คาดคิด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงตัวแทนเชิดของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ คืนมัดจำและชดใช้ค่าเสียหาย ยกฟ้องจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏตามสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องว่า โจทก์จะต้องชำระค่าอาคารพาณิชย์และที่ดินตามฟ้อง ๔ งวด งวดที่ ๑ ชำระ ๔๐,๐๐๐ บาท ถือว่าเป็นค่ามัดจำ ซึ่งโจทก์ได้ชำระให้จำเลยที่ ๑ แล้วในวันทำสัญญางวดที่ ๒ ชำระ ๖๕,๐๐๐ บาท เมื่อจำเลยที่ ๑ ขุดหลุมตอกเข็มแล้วงวดที่ ๓ ชำระ ๕๐,๐๐๐ บาท ภายใน ๓๐ วันหลังจากชำระงวดที่ ๒ งวดที่ ๔ ชำระ ๕๐,๐๐๐ บาท ภายใน ๓๐ วัน หลังจากชำระงวดที่ ๓ เงินที่เหลือชำระก่อนหรือในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้อง พร้อมกับชำระเงินงวดที่ ๑ ให้แก่จำเลยที่ ๑ นั้น การก่อสร้างอาคารพาณิชย์ ตามฟ้องชั้นล่างได้แล้วเสร็จและกำลังก่อสร้างชั้นที่สอง จำเลยที่ ๑ ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ตามฟ้องต่อไปอีกประมาณ ๗ วันก็หยุดก่อสร้างไปเองและทิ้งค้างไว้เช่นนั้นเป็นเวลานานกว่า ๑ ปี จนกระทั่งโจทก์ฟ้องคดีนี้ก็ยังไม่ก่อสร้างต่อ และที่จำเลยที่ ๑ หยุดการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ตามฟ้องนั้น มิได้หยุดเพราะโจทก์ผิดนัดไม่ชำระราคาอาคารพาณิชย์และที่ดินตามฟ้องให้จำเลยที่ ๑ ตามสัญญาทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ได้เคยทวงถามให้โจทก์ชำระเงินงวดที่ ๒ และงวดต่อ ๆ ไปเลยจำเลยที่ ๑ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า โจทก์ยังไม่ได้ซื้อตึกแถวรายใหม่จึงยังมิได้รับความเสียหาย และอาคารพาณิชย์ราคาถูกแพงต่างกันอยู่ที่สภาพของอาคารและทำเล ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ จำเลยที่ ๑ ไม่อาจคาดเห็นได้ และโจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบว่าได้ซื้ออาคารพาณิชย์อื่นในราคาแพงขึ้น จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายนั้นเห็นว่า หากจำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามสัญญาโจทก์ก็สามารถได้กรรมสิทธิ์ในอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องโดยเสียเงิน ๔๔๕,๐๐๐ บาท แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาไม่ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ตามฟ้องให้แล้วเสร็จเพื่อส่งมอบให้โจทก์ หลังจากโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องแล้วอาคารพาณิชย์และที่ดินในละแวกนั้นมีราคาสูงขึ้น การที่จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาจึงเห็นได้ชัดว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ข้ออ้างตามคำฟ้องและข้อนำสืบของโจทก์นั้นมิได้มีข้อผูกพันว่าโจทก์จะต้องซื้ออาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินรายใหม่แทนอาคารพาณิชย์และที่ดินตามฟ้องในราคาสูงกว่า ๔๔๕,๐๐๐ บาทเสียก่อน จึงจะมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๑ ได้ เพราะค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมิใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ แต่เป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การที่จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหนี้คือไม่ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ตามฟ้องให้แล้วเสร็จและส่งมอบให้โจทก์ จำเลยที่ ๑ จะคาดเห็นหรือควรจะคาดเห็นล่วงหน้าก่อนแล้วหรือไม่ จึงไม่ใช่ข้อสำคัญ พฤติการณ์ตามที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการผิดนัดสัญญาของจำเลยที่ ๑ แต่โจทก์ยังมิได้ซื้ออาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินที่มีสภาพและทำเลเช่นเดียวกับอาคารพาณิชย์และที่ดินตามฟ้อง จึงยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าโจทก์จะต้องเสียเงินเพิ่มจากราคาอาคารพาณิชย์และที่ดินที่โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจากจำเลยที่ ๑ เป็นจำนวนเงินเท่าใด แต่ศาลมีอำนาจกำหนดจำนวนเงินค่าเสียหายยให้โจทก์ตามควรแก่พฤติการณ์ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ ๓๕,๐๐๐ บาทนั้นเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว
พิพากษายืน

Share