คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2528

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำเบิกความของ ก. เป็นการซัดทอดจำเลยเพื่อให้ตนเองพ้นผิดเมื่อ ก. เบิกความเป็นพยานตนเองในฐานะที่เป็นจำเลยในอีกคดีหนึ่งซึ่งศาลชั้นต้นพิจารณารวมกับคดีนี้เท่านั้น หาใช่เป็นการเบิกความในฐานะเป็นพยานโจทก์ไม่ จึงเอาคำของ ก. มาฟังลงโทษจำเลยหาได้ไม่

ย่อยาว

คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันกับอีกคดีหนึ่งซึ่งโจทก์ฟ้องพลทหารโกสุม จินดารัตน์ เป็นจำเลย ซึ่งในคดีนั้นศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและถึงที่สุดแล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490มาตรา 8 ทวิ, 55, 72 ทวิ วรรคสอง, 78 ฐานมีลูกระเบิดไว้ในครอบครองจำคุก 6 ปี ฐานพาอาวุธปืนและลูกระเบิด เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ปรับ 1,000 บาทศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยมีลูกระเบิดของกลางไว้ในครอบครอง และพาไปในเมืองหรือถนนสาธารณะดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ในปัญหาข้อนี้ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยมีความผิดเพราะพยานโจทก์สามปากคือพันตำรวจโทนิยม สิบตำรวจตรีพลวิรัตน์ และพลตำรวจวีระพล เบิกความตรงกันว่า พบกระเป๋าบรรจุลูกระเบิดในรถแท็กซี่คันที่จำเลยนั่งโดยกระเป๋าอยู่ใต้เบาะหลังใกล้ที่วางเท้าของจำเลย แสดงว่าลูกระเบิดอยู่ในความครอบครองของจำเลยในขณะที่นั่งรถแท็กซี่ ทั้งพลทหารโกสุมก็เบิกความว่าเห็นจำเลยถือลูกระเบิดตั้งแต่อยู่ที่ร้านอาหารก่อนที่จำเลยจะชวนพลทหารโกสุมขึ้นรถแท็กซี่ไปด้วยกัน จึงฟังได้ว่าจำเลยมีลูกระเบิดไว้ในครอบครองและพาไปในเมืองหรือถนนสาธารณะ

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พลทหารโกสุมเบิกความไม่น่าเชื่อถือเพราะขัดกับที่เคยให้การไว้ชั้นสอบสวนว่า ไม่ทราบมาก่อนว่าจำเลยมีของกลางในคดีทั้งหมดติดตัวมา คำเบิกความของพลทหารโกสุมก็กลับไปกลับมาไม่อยู่กับร่องกับรอยทั้งเห็นได้ชัดว่าเป็นการซัดทอดเพื่อให้ตนเองพ้นผิด นอกจากนั้น พลทหารโกสุมเบิกความเป็นพยานตนเองในฐานะที่เป็นจำเลยในอีกคดีหนึ่ง ซึ่งศาลชั้นต้นพิจารณารวมกับคดีนี้เท่านั้น หาใช่เป็นการเบิกความในฐานะพยานโจทก์ไม่ จึงเอาคำของพลทหารโกสุมมาฟังลงโทษจำเลยหาได้ไม่ ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองลูกระเบิดที่อยู่ในรถแท็กซี่ เพราะเห็นว่ากระเป๋าบรรจุลูกระเบิดอยู่ใต้เบาะหลังใกล้กับที่วางเท้าของจำเลยนั้น เห็นว่า พยานโจทก์ที่รู้เห็นว่ากระเป๋าบรรจุลูกระเบิดอยู่ตรงไหน และจำเลยนั่งอยู่ด้านไหนของรถแท็กซี่นั้น มี 3 คนคือ พันตำรวจโทนิยม สิบตำรวจตรีพลวิรัตน์และพลตำรวจวีระพลแต่คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามคนนี้หาสอดคล้องต้องกันไม่ กล่าวคือพันตำรวจโทนิยมเบิกความว่า กระเป๋าที่บรรจุลูกระเบิดของกลางวางอยู่ใต้เบาะด้านหลัง ซึ่งไม่ใช่ที่วางเท้า แต่จะอยู่ด้านซ้ายหรือขวาไม่ทราบ ส่วนสิบตำรวจตรีพลวิรัตน์และพลตำรวจวีระพลว่า กระเป๋าดังกล่าวอยู่ใต้เบาะตรงที่วางเท้า แม้พยานโจทก์สองปากหลังนี้จะเบิกความว่ากระเป๋าอยู่ใกล้กับที่วางเท้าของจำเลย เพราะกระเป๋าอยู่ทางด้านซ้ายของเบาะรถแท็กซี่ และจำเลยนั่งทางด้านซ้ายของรถ โดยมีพลทหารโกสุมนั่งทางด้านขวาหลังคนขับแต่พันตำรวจโทนิยมกลับเบิกความว่า จำเลยนั่งทางด้านขวาหลังคนขับ เมื่อพยานโจทก์เบิกความไม่สอดคล้องกันทั้งรถแท็กซี่คันดังกล่าวมีจำเลยและพลทหารโกสุมนั่งมาด้วยกัน จึงยังเป็นที่สงสัยว่า จำเลยจะเป็นผู้ครอบครองลูกระเบิดดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่สมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีและพาลูกระเบิดไปในเมืองและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรนั้น จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น”

“พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 และพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490ให้ลงโทษจำเลยบทหนักตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ,72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 7 ปรับจำเลย 1,000บาท ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหามีและพกพาลูกระเบิด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share