คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2196/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าของรวมใช้ทางเดินผ่านที่ดินกรรมสิทธิ์รวมเป็นการใช้ตามอำนาจกรรมสิทธิ์ จะใช้ทางนั้นมาช้านานเท่าใดก็ไม่ได้ภารจำยอม
ผู้ที่จะได้สิทธิใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ออกไปสู่ทางสาธารณะนั้นต้องเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งถูกล้อม หากเป็นเพียงเจ้าของโรงเรือน แม้จะถูกที่ดินอื่นล้อมอยู่ก็หามีสิทธิเรียกร้องทางจำเป็นไม่
ฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีเป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดให้คู่ความใช้แทนกันหรือให้เป็นพับได้ตามที่เห็นสมควรแก่รูปคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์กับจำเลยเป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินโฉนดที่ 2325 พร้อมทั้งเรือนไม้สัก 2 หลังติดต่อกัน เลขทะเบียน 128โดยโจทก์มีส่วนหนึ่งในสี่ ต่อมาได้มีการแบ่งแยกที่ดินเป็น 2 โฉนดจำเลยถือโฉนดเดิม และเรือนอยู่ในที่ดินส่วนของจำเลยที่ดินส่วนของโจทก์ โจทก์ได้ขายให้บุคคลอื่น ต่อมาจำเลยได้แสดงการขัดขวางไม่ยอมให้โจทก์กับบริวารใช้กรรมสิทธิ์ร่วมในเรือน และใช้ทางเข้าออกผ่านที่ดินของจำเลย ขอให้บังคับจำเลยห้ามขัดขวางในการที่โจทก์ใช้กรรมสิทธิ์ของโจทก์ และให้รื้อรั้วเปิดทางเดินผ่านที่ดินจำเลยสู่ถนนอิสรภาพ

จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีส่วนกรรมสิทธิ์ในเรือน และโจทก์มีทางออกอยู่แล้ว

คู่ความรับรองเอกสารกัน แล้วต่างไม่ติดใจสืบพยาน

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในบ้านพิพาท ยังไม่ได้แบ่งแยก แต่โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เปิดทาง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ก่อนที่โจทก์จะขายที่ดินให้บุคคลอื่น โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 2325 ร่วมกับจำเลย การที่โจทก์ใช้ทางเดินตามที่โจทก์ฟ้อง เป็นการใช้ตามอำนาจกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่มีอยู่ในขณะนั้น โจทก์จะอ้างว่าเป็นทางภารจำยอมมิได้ และการที่โจทก์ใช้ทางเดินต่อมาหลังจากขายที่ดินส่วนของโจทก์ไปแล้วนับถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 10 ปี ไม่มีทางก่อให้เกิดภารจำยอมโดยทางอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401

ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า แม้โจทก์จะมีกรรมสิทธิในเรือนพิพาทอยู่ ก็ได้ความว่าขณะโจทก์ฟ้องจำเลย โจทก์ไม่มีที่ดินอยู่เลย จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นทางจำเป็นตามมาตรา 1349 ซึ่งบัญญัติว่า “ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ไซร้ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ ฯลฯ”

ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ได้ขอให้ห้ามมิให้จำเลยขัดขวางการใช้กรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในเรือนพิพาท ชอบที่ศาลจะพิพากษาบังคับจำเลยให้ตามคำขอนี้ ที่ศาลล่างพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งหมดและศาลชั้นต้นให้ค่าธรรมเนียมเป็นพับ ศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ใช้ค่าทนายแทนจำเลย เป็นการไม่ถูกต้องนั้น

ปรากฏว่าเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว โจทก์มิได้ยกเป็นข้ออุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นพิพากษาในข้อนี้ไม่ชอบแต่อย่างใด จึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมเป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดให้คู่ความใช้แทนกันหรือให้เป็นพับได้ตามที่เห็นสมควร ซึ่งศาลล่างได้ใช้ดุลพินิจกำหนดมาชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share