คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1047/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใหญ่บ้าน กลับจากธุระมาถึงบ้านก็ได้รับแจ้งจากจำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นลูกบ้านว่าถูกโจทก์เรียกร้องเอาเงินไป ขอให้ไปแจ้งต่อตำรวจเพื่อเอาเงินคืน จำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นผู้ใหญ่บ้านจึงไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจตามคำบอกเล่าของลูกบ้าน อันเป็นการกระทำตามหน้าที่ของผู้ปกครองหมู่บ้าน โดยเชื่อตามคำบอกเล่าของลูกบ้านว่าเป็นความจริง เช่นนี้ จำเลยที่ 1 ยังหามีความผิดฐานแจ้งความเท็จไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 8 คนฐานร่วมกันแจ้งความเท็จและกรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 174, 337, 83

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้รับไว้พิจารณาเฉพาะฐานสมคบกันแจ้งความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 174, 83

จำเลยทั้ง 8 คนให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้ง 8 คนมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 174, 83 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174, 83 จำคุกคนละ 1 ปี

จำเลยทั้ง 8 คนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 เป็นที่สงสัยว่าจำเลยที่ 1 จะไม่รู้ความจริงมาก่อนว่าข้อความที่นำไปแจ้งนั้นเป็นความเท็จ และเห็นควรกำหนดโทษจำคุกจำเลยคนอื่น ๆ ให้เบาลง พิพากษาแก้ เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 8 คนละ 6 เดือน เฉพาะจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทุกคนตามศาลชั้นต้น

ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์เฉพาะที่เกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 1 ส่วนฎีกาที่เกี่ยวกับจำเลยนอกนั้นเป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามไม่รับ คดีคงมีปัญหาขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า สำหรับนายหนูจำเลยที่ 1 นั้นข้อเท็จจริงได้ความว่านายหนูจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใหญ่บ้านจำเลยนอกนั้นเป็นลูกบ้าน เมื่อโจทก์กล่าวหาว่าพวกจำเลยลักเป็ดมาฆ่ากินและเรียกร้องค่าเสียหายกันนั้น นายหนูจำเลยที่ 1 ไม่อยู่ ไม่รู้เรื่องด้วย ครั้นกลับจากธุระมาถึงบ้าน นายหนูจำเลยที่ 1 จึงได้รับแจ้งจากนายบุญ จำเลยที่ 7 ลูกบ้านว่าถูกโจทก์เรียกร้องเอาเงินจากพวกจำเลยไป 2,400 บาท ขอให้ไปแจ้งต่อตำรวจเพื่อเอาเงินคืน นายหนูจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นผู้ใหญ่บ้านจึงไปแจ้งต่อจ่าสิบตำรวจวีระตามคำบอกเล่าของลูกบ้านอันเป็นการกระทำตามหน้าที่ของผู้ปกครองหมู่บ้าน โดยเชื่อตามคำบอกเล่าของลูกบ้านว่าเป็นความจริง เช่นนี้หาเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จไม่ แม้โจทก์จะนำสืบว่าก่อนนายหนูจำเลยที่ 1 จะไปแจ้งความนั้น จำเลยที่ 1 ได้ทราบเรื่องจากนายบุญธรรมสารวัตรกำนันแล้ว แต่เมื่อลูกบ้านของจำเลยที่ 1 หลายคนยืนยันว่าความจริงเป็นดังคำบอกเล่าของลูกบ้านเช่นนี้ การที่นายหนูนำความไปแจ้งต่อจ่าสิบตำรวจวีระเพื่อสอบสวนหาความจริงอีกโดยนายหนูจำเลยที่ 1 ไม่มีโอกาสรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไรแน่นั้นการกระทำของนายหนูจำเลยที่ 1 ย่อมไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้อง โจทก์สำหรับนายหนูจำเลยที่ 1 เสียนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share