คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1499/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้แทนจำหน่ายรถแทรกเตอร์ของโจทก์ เก็บเงินค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์จากผู้เช่าซื้อลูกค้าของโจทก์ได้แล้ว เบียดบังยักยอกไม่นำส่งให้โจทก์ขาดบัญชีไป แล้วต่อมาจำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงให้ไว้กับพนักงานและทนายความของบริษัทโจทก์ยอมรับค้างชำระเงินที่ไม่นำส่งและยอมขอผ่อนชำระให้ อันมีลักษณะครบถ้วนเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องกล่าวหาจำเลยกระทำผิดฐานยักยอกเช่นนี้หาได้ไม่ เพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)
ฟ้องแย้งเรียกค่าบำเหน็จนายหน้าในการเป็นผู้แทนจำหน่ายรถแทรกเตอร์จากจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อที่จำเลยเก็บได้จากผู้เช่าซื้อแล้วไม่นำส่งให้โจทก์หลายราย โดยคำฟ้องแย้งไม่มีรายละเอียดว่าจะได้จากเงินค่าเช่าซื้อที่เรียกเก็บจากผู้เช่าซื้อคนใดเป็นจำนวนเท่าใด และคิดเป็นบำเหน็จอย่างไร เป็นแต่กล่าวอ้างคลุม ๆ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น เท่านั้น เป็นคำฟ้องแย้งที่เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่มีทางจะทราบและแก้ฟ้องแย้งของจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้แทนจำหน่ายรถแทรกเตอร์และเครื่องอุปกรณ์ของโจทก์ในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดเลย มีหน้าที่เก็บเงินค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์จากผู้เช่าซื้อส่งแก่โจทก์ตามงวดที่กำหนด ครั้นระหว่างวันที่ 27 มกราคม 2507 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2509 เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยได้บังอาจทุจริตกระทำผิดหน้าที่เบียดบังเอาเงินค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ลูกค้าของโจทก์ 9 รายไว้เป็นอาณาประโยชน์ของจำเลย ไม่นำส่งให้โจทก์ขาดบัญชีไปรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 73,905 บาท ต่อมาวันที่ 23 มิถุนายน 2509 จำเลยได้ทำบันทึกให้ไว้ต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายและทนายความของบริษัทโจทก์ยอมรับชำระเงินที่ขาดบัญชีทั้งหมดให้โจทก์ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2510 แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว จึงขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353 ส่วนทางแพ่งขอให้บังคับ จำเลยชดใช้เงินที่เบียดบังยักยอกเป็นจำนวนเงิน 73,905 บาทกับดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2509 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยยอมรับสภาพหนี้ ในอัตราร้อยละ 12 ต่อปีตามที่จำเลยตกลงกับโจทก์จนถึงวันฟ้องซึ่งโจทก์ขอคิดเป็นเงิน 7,144.15 บาท และดอกเบี้ยในต้นเงิน 73,905 บาท อัตราร้อยละ 12 ต่อปี ตั้งแต่ถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งประทับฟ้องทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง

จำเลยให้การปฏิเสธในส่วนอาญาว่ามิได้มีเจตนาทุจริตยักยอกในส่วนแพ่งให้การต่อสู้และฟ้องแย้งว่า ค้างเงินค่าเช่าซื้อที่จะต้องส่งแก่โจทก์จำเลยได้จัดการชำระหนี้ตามสัญญายอมให้โจทก์แล้วโดยผ่านทางธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาเพชรบูรณ์ จำเลยมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามสัญญาตั้งผู้แทนจำหน่าย ซึ่งเมื่อคิดหักกลบลบหนี้กันกับจำนวนเงินที่จำเลยค้างอยู่กับโจทก์ โจทก์ยังเป็นลูกหนี้จำเลยอยู่อีกเป็นเงินทั้งสิ้น 33,827.50 บาทขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับให้โจทก์ใช้ค่าบำเหน็จที่ค้างอยู่ 33,827.50 บาทแก่จำเลยพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยผิดสัญญาจึงไม่มีสิทธิได้รับค่านายหน้า จำเลยฟ้องแย้งไม่ได้ เป็นคนละเรื่องกับฟ้องของโจทก์ ฟ้องแย้งเป็นฟ้องเคลือบคลุม ขอให้จำหน่ายหรือยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 แต่โจทก์ได้ยอมความกับจำเลยแล้วตามเอกสาร จ.1 คดีเป็นอันระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) และฟังว่า เงินที่ธนาคารชำระให้โจทก์แทนจำเลยเป็นหนี้คนละรายกับที่จำเลยเก็บจากลูกค้าได้แล้วไม่นำส่งให้โจทก์ จำเลยมีสิทธิฟ้องแย้งได้ แต่เป็นฟ้องแย้งที่เคลือบคลุม และจำเลยยังไม่มีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จนายหน้า พิพากษาให้ยกฟ้องส่วนอาญาให้จำเลยชำระเงินที่ค้างส่ง 73,905 บาทแก่โจทก์ กับให้ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีในต้นเงิน 37,000 บาท ตามข้อตกลงในเอกสาร จ.1 นับแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2509 ซึ่งเป็นวันผิดนัดเป็นต้นไป และอีกร้อยละ 12 ต่อปีในต้นเงิน 36,905 บาท นับแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2509 จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ 2,000 บาทแทนโจทก์

โจทก์อุทธรณ์ว่า เอกสาร จ.1 ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความคดีไม่ระงับ ขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดทางอาญาและจำเลยได้ชำระเงิน 70,000 บาทให้โจทก์แล้ว โจทก์ยังค้างค่าบำเหน็จจำเลยอีก 33,827.50 บาท ตามจำนวนที่ฟ้องแย้ง ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยไม่มีความผิดและมิได้กระทำผิดตามฟ้อง และให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนแพ่ง ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระค่าบำเหน็จนายหน้าที่ยังค้างชำระ 33,827.50 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลย

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าบรรดาเงินที่จำเลยค้างชำระโจทก์เป็นหนี้สินทางแพ่งที่เกิดขึ้นตามข้อตกลง จะฟังว่าจำเลยเบียดบังยักยอกอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ไม่ได้ ทั้งโจทก์จำเลยได้ทำสัญญายอมความกันแล้ว ตามเอกสาร จ.1 จำเลยได้ชำระหนี้ที่ค้างชำระตามเอกสาร จ.1 ให้โจทก์แล้ว ฟ้องแย้งของจำเลยไม่เคลือบคลุม โจทก์ยังค้างชำระค่าบำเหน็จนายหน้าแก่จำเลยเป็นจำนวนเงิน 33,616.80 บาท พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้โจทก์ชำระค่าบำเหน็จนายหน้าแก่จำเลยเป็นเงิน 33,616.80 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และไม่ตัดสิทธิโจทก์จำเลยจะฟ้องร้องว่ากล่าวกันต่อไป ในจำนวนหนี้และค่าบำเหน็จนายหน้า นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมและค่าทนายความ 2 ศาล จำนวน 3,000 บาทแทนจำเลย

โจทก์ฎีกาต่อมาทั้งคดีส่วนอาญาและคดีส่วนแพ่ง

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์

1. การกระทำของจำเลยเป็นความผิดทางอาญาหรือไม่ หากเป็นความผิดได้มีการประนีประนอมยอมความไปแล้วหรือไม่ เห็นว่าเอกสาร จ.1มีข้อความว่า “… ได้ตรวจสอบหลักฐานการชำระเงินจากผู้เช่าซื้อรถแทรกเตอร์ของบริษัทยิบอินซอย จำกัด ที่ชำระผ่านนายเฟือ กาญจนะโกมล และส่งเงินไปชำระที่บริษัทแล้วส่วนหนึ่ง ยังคงเหลือที่นายเฟือ กาญจนะโกมล มิได้ส่งเป็นเงิน 73,905.00 บาท (เจ็ดหมื่นสามพันเก้าร้อยห้าบาทถ้วน) คือ … (รายละเอียดชื่อผู้เช่าซื้อและจำนวนเงินที่ยังค้างแต่ละราย) … ข้าพเจ้านายเฟือ กาญจนะโกมล ขอผัดชำระดังนี้ (1) 37,000 บาท (สามหมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน) ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2509 (2) ส่วนที่เหลืออีก 36,905 บาท (สามหมื่นหกพันเก้าร้อยห้าบาทถ้วน) ขอผ่อนชำระให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2510 และข้าพเจ้ายอมให้คิดดอกเบี้ยจากเงิน 36,905 บาท ในอัตรา 12% ต่อปี นับแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2509 จนถึงวันชำระดอกเบี้ยพร้อมกับเงินต้น จึงบันทึกไว้” ลงชื่อจำเลยในท้ายเอกสารนั้นนายชาลี แบรนดอน หัวหน้าฝ่ายขาย และนายดุม อินทุวงศ์ ทนายความบริษัทโจทก์ ลงชื่อเป็นพยาน ผู้ตรวจสอบหลักฐานตามบันทึกนี้คือนายชาลี แบรนดอน พนักงานของบริษัท กับนายดุม อินทุวงศ์ ทนายความของบริษัทโจทก์ และบริษัทโจทก์เป็นผู้ยึดถือเอกสารนี้ไว้ ตามฟ้องโจทก์ยังอ้างว่าเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งได้ทำไว้ต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายและทนายความของโจทก์ เอกสาร จ.1 จึงมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 โดยสมบูรณ์ เมื่อจำเลยไม่ชำระเงินงวดแรกให้โจทก์ โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายชาลี แบรนดอน ไปร้องทุกข์จำเลยต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปรามสามยอดตามเอกสาร จ.7 ก็ได้อ้างเท้าถึงเอกสาร จ.1 นี้เป็นมูลให้ดำเนินการสอบสวนคดีอาญาแก่จำเลยเพราะจำเลยไม่นำเงินมาชำระ หากโจทก์ได้รับเงินตามงวดที่จำเลยผ่อนชำระโจทก์คงไม่ร้องทุกข์กล่าวหาจำเลย และข้อหาที่กล่าวโทษจำเลยเป็นความผิดอันยอมความกันได้ กรณีนี้จึงฟังได้ว่าโจทก์กับจำเลยได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันแล้ว อันมีผลทำให้สิทธิที่จะนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสถานใดหรือไม่ ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะแม้จะฟังว่าเป็นความผิด คดีก็เป็นอันระงับไปแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ในข้อนี้ชอบด้วยรูปคดีแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

2. จำเลยได้ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างจำนวนเงิน 73,905 บาท ตามเอกสาร จ.1 ให้โจทก์แล้วหรือไม่ พยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบมาฟังได้ว่า จำเลยยังค้างชำระหนี้โจทก์ตามเอกสาร จ.1 อีก 73,905 บาทตามฟ้อง

3. จำเลยฟ้องแย้งได้หรือไม่ และเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยส่งเงินค่าจำหน่ายสินค้าของโจทก์ จำเลยย่อมฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระค่านายหน้าแก่โจทก์ได้ เป็นเงินที่เกี่ยวเนื่องกับจำนวนหนี้ที่โจทก์ฟ้องจำเลยนั่นเอง แต่ฟ้องแย้งของจำเลยไม่มีรายละเอียดว่า เงินค่านายหน้าที่จำเลยเรียกร้องจะได้จากเงินค่าเช่าซื้อที่เรียกเก็บจากผู้เช่าซื้อคนไหน เป็นจำนวนเท่าใด และคิดเป็นบำเหน็จอย่างไร ตามข้อสัญญา จำเลยมีสิทธิจะได้ค่านายหน้าเพียง 7% จากจำนวนเงินที่บริษัทได้รับชำระแล้วเท่านั้น แต่จำเลยได้อ้างคลุม ๆ เรียกเงินค่านายหน้าเป็นจำนวนเงินถึง 33,827.50 บาท ทั้งที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยคิดจากยอดเงินรายใด อย่างไร จึงรวมกันเป็นจำนวนเงินเท่านั้น โจทก์ไม่มีทางจะทราบและแก้ฟ้องแย้งของจำเลยได้ จึงเป็นฟ้องแย้งที่เคลือบคลุม

4. จำเลยมีสิทธิได้ค่านายหน้าหรือไม่ เมื่อฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องเคลือบคลุมซึ่งจะต้องยกฟ้องแย้งของจำเลยแล้ว ปัญหาที่ว่าจำเลยจะมีสิทธิได้ค่าบำเหน็จตามฟ้องแย้งหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความทั้ง 3 ศาล 5,000 บาทแทนโจทก์ด้วย

Share