แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ได้มีคำพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนต้นยางพาราและทรัพย์สินอื่นที่สร้างอยู่ในที่ดินพิพาทออกไปจากที่ดินพิพาทก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษตาม ป.ที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสอง ซึ่ง ป.ที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคสี่ บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีคำพิพากษาว่าผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรานี้ ศาลมีอำนาจสั่งในคำพิพากษาให้ผู้กระทำความผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของผู้กระทำความผิดออกไปจากที่ดินนั้นด้วย” จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเห็นได้ว่า เมื่อศาลพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตาม ป.ที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคสอง ศาลย่อมมีอำนาจสั่งในคำพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินที่เข้าไปยึดถือ ครอบครอง ถมดิน ซึ่งย่อมมีความหมายรวมถึงให้จำเลยและบริวารรื้อถอนต้นไม้หรือสิ่งปลูกสร้างออกไปได้ด้วย ดังนี้ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ได้มีคำพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนต้นไม้หรือสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทออกไปจากที่ดินพิพาทด้วยก็ตาม ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อถอนต้นไม้หรือสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ คำสั่งศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมายและศาลชั้นต้นมีอำนาจออกหมายบังคับคดีได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองทางพิพาทซึ่งเป็นทางสาธารณะ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 362, 363 ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 90, 91, 108 ทวิ จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 363 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 3 เดือน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนมีกำหนด 3 เดือน กับให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยออกไปจากทางพิพาท บรรดาเสารั้วลวดหนาม ต้นยางพารา บ่อน้ำบาดาล และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ อื่นใดที่กระทำลงบนทางพิพาทให้ริบ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องข้อหาบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 363 และไม่ริบทรัพย์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาจำเลย
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นบังคับคดีแก่จำเลยและบริวาร เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังจำเลย ผู้ร้องทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา ศาลชั้นต้นออกหมายจับบุคคลทั้งสาม เจ้าพนักงานตำรวจจับบุคคลทั้งสามแล้วนำส่งต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นเบิกตัวมาสอบถาม บุคคลทั้งสามแถลงว่าได้ออกไปจากทางพิพาทนานแล้วและไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับทางพิพาทอีก โจทก์แถลงยืนยันว่าบุคคลทั้งสามยังคงเข้าไปทำประโยชน์ในทางพิพาทและล้อมรั้วลวดหนามไว้ด้วย เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่พบจำเลยและบริวารในทางพิพาทขณะไปปิดหมายบังคับคดีแต่ยังพบต้นไม้และทรัพย์สินอื่นบนทางพิพาท ทั้งยังมีรั้วลวดหนามปิดล้อมทางพิพาท โดยคำพิพากษามิได้ระบุให้รื้อถอนทรัพย์สินดังกล่าวออกจากทางพิพาท เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่ได้ทำการรื้อถอนทรัพย์สินดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ไม่มีเหตุให้กักขังจำเลยและผู้ร้องทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา แต่เมื่อได้ความว่ามีการล้อมรั้วลวดหนามรอบทางพิพาทและบนทางพิพาทยังมีต้นยางพารา รวมถึงทรัพย์สินของจำเลยหรือของบริวารจำเลยอยู่ย่อมอาจเป็นเหตุให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยเข้าไปหาผลประโยชน์ในทางพิพาทได้ ซึ่งประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคสี่ บัญญัติว่า ในกรณีที่มีคำพิพากษาว่าผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรานี้ ศาลมีอำนาจสั่งในคำพิพากษาให้ผู้กระทำความผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของผู้กระทำความผิดออกไปจากที่ดินนั้นด้วย โดยบทบัญญัติดังกล่าวมุ่งประสงค์ให้รัฐสามารถเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันได้โดยเร็ว แม้ศาลพิพากษาไม่ริบทรัพย์ที่อยู่ในทางพิพาทก็ตาม แต่การบังคับให้ผู้กระทำความผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของผู้กระทำความผิดออกไปจากที่ดินนั้นย่อมหมายความรวมถึงการให้รื้อถอนทรัพย์สินของบุคคลเหล่านั้นที่อยู่ในทางพิพาท อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินออกไปด้วย เพราะมิฉะนั้นประชาชนย่อมเสื่อมเสียประโยชน์ในการใช้สาธารณสมบัติของแผ่นดินออกไปได้ เมื่อผู้ร้องที่ 2 รับว่าเป็นเจ้าของต้นยางพาราและทรัพย์สินอื่นที่สร้างอยู่ในทางพิพาท ผู้ร้องที่ 2 จึงต้องดำเนินการรื้อถอนออกไป หากไม่รื้อถอนโจทก์ย่อมมีอำนาจดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ตามกฎหมาย
ผู้ร้องที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ร้องที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องที่ 2 ว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ผู้ร้องที่ 2 รื้อถอนต้นยางพาราและทรัพย์สินอื่นที่สร้างอยู่ในที่ดินพิพาท หากไม่รื้อถอนให้โจทก์ดำเนินการบังคับคดีต่อไปเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยผู้ร้องที่ 2 ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ได้มีคำพิพากษาให้จำเลยหรือผู้ร้องที่ 2 รื้อถอนต้นไม้หรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ออกไปจากที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้นจึงไม่มีอำนาจออกหมายบังคับคดีได้นั้น เห็นว่า แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ได้มีคำพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนต้นยางพาราและทรัพย์สินอื่นที่สร้างอยู่ในที่ดินพิพาทออกไปจากที่ดินพิพาทก็ตาม แต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสอง ซึ่งประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคสี่ บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีคำพิพากษาว่าผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรานี้ ศาลมีอำนาจสั่งในคำพิพากษาให้ผู้กระทำความผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของผู้กระทำความผิดออกไปจากที่ดินนั้นด้วย” จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเห็นได้ว่า เมื่อศาลพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคสอง ศาลย่อมมีอำนาจสั่งในคำพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินที่เข้าไปยึดถือ ครอบครอง ถมดิน ซึ่งย่อมมีความหมายรวมถึงให้จำเลยและบริวารรื้อถอนต้นไม้หรือสิ่งปลูกสร้างออกไปได้ด้วย ดังนี้ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ได้มีคำพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนต้นไม้หรือสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทออกไปจากที่ดินพิพาทด้วยก็ตาม ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อถอนต้นไม้หรือสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ คำสั่งศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมายและศาลชั้นต้นมีอำนาจออกหมายบังคับคดีได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ