คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1534/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยรับทรัพย์ไปจากโจทก์ร่วมก็เพื่อหวังจะเอาไปขายหากำไรอีกต่อหนึ่ง จำเลยไม่มีหน้าที่จะต้องทำการขายตามคำสั่งของโจทก์ร่วมจำเลยจะขายเกินราคาหรือต่ำกว่าราคาที่โจทก์ร่วมกำหนดไว้ก็ทำได้ เพียงแต่ว่าเมื่อขายได้แล้ว ต้องส่งราคาแก่โจทก์ร่วมตามที่กำหนดกันไว้เท่านั้น การครอบครองทรัพย์ของจำเลยในลักษณะเช่นนี้จึงมิใช่ครอบครองทรัพย์ในฐานตัวแทนโจทก์ร่วม หากแต่ครอบครองโดยอาศัยอำนาจแห่งสัญญาที่โจทก์ร่วมกับจำเลยมีนิติสัมพันธ์ต่อกันเมื่อจำเลยบิดพลิ้วไม่ส่งเงินที่ขาย ก็เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นทั้งโจทก์ก็สืบไม่ได้ว่า จำเลยได้เบียดบังตัวทรัพย์ไว้โดยทุจริต จึงหาใช่เป็นการผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ตามฟ้องไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายชะอุ่ม ทศสิน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันครอบครอง เครื่องเพชรเครื่องทองรูปพรรณตามบัญชีท้ายฟ้องรวมราคา 167,050 บาท ของนายไพรัตน์ เฮงตระกูลสิน จำเลยกับนายชะอุ่ม ทศสิน ได้ร่วมกันเบียดบังเอาเครื่องเพชรเครื่องทองรูปพรรณทั้งหมดที่ครอบครองไว้เป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352

นายไพรัตน์ เฮงตระกูลสิน ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นเรื่องความรับผิดในทางแพ่ง พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์ร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ร่วมฎีกา

คดีนี้ ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายไพรัตน์ผู้เสียหายหรือโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของร้านค้าเครื่องทองเครื่องเพชร จำเลยได้ติดต่อค้าขายกับโจทก์ร่วมมานาน โดยรับเครื่องทองเครื่องเพชรของโจทก์ร่วมเอาไปขายขึ้นราคาตามความพอใจของจำเลย ถ้าขายได้สูงกว่าราคาที่กำหนด จำเลยก็ได้กำไร เพราะของเหล่านั้นได้กำหนดราคากันไว้ระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยแล้วถ้าของสิ่งใดขายไม่ได้ จำเลยก็ไม่ขาดทุน เพราะนำของกลับมาคืนโจทก์ร่วมได้ วันเกิดเหตุจำเลยได้รับของต่าง ๆ จากโจทก์ร่วมไปจริง และยังไม่ได้ชำระราคาให้ ทั้งของเหล่านั้นไม่ได้มีอยู่ที่จำเลยแล้ว เพราะจำเลยขายไปหมด

ศาลฎีกาเห็นว่า การปฏิบัติในเชิงค้าระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องซื้อเชื่อ และจำเลยก็หาใช่ตัวแทนของโจทก์ร่วมไม่ การที่จำเลยรับทรัพย์ไปจากโจทก์ร่วมก็เพื่อหวังจะเอาไปขายหากำไรอีกต่อหนึ่ง จำเลยไม่มีหน้าที่จะต้องทำการขายตามคำสั่งของโจทก์ร่วม จำเลยจะขายเกินราคาหรือต่ำกว่าราคาที่โจทก์ร่วมกำหนดไว้ก็ทำได้ เพียงแต่ว่าเมื่อขายได้แล้วต้องส่งราคาแก่โจทก์ร่วมตามที่กำหนดกันไว้เท่านั้น การครอบครองทรัพย์ของจำเลยในลักษณะเช่นนี้จึงมิใช่ครอบครองทรัพย์ในฐานตัวแทนโจทก์ร่วม หากแต่ครอบครองโดยอาศัยอำนาจแห่งสัญญาที่โจทก์ร่วมกับจำเลยมีนิติสัมพันธ์ต่อกัน เมื่อจำเลยบิดพลิ้วไม่ส่งเงินที่ขายก็เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ทั้งโจทก์ก็สืบไม่ได้ว่าจำเลยได้เบียดบังตัวทรัพย์ไว้โดยทุจริต จึงหาใช่เป็นการผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ตามฟ้องไม่

พิพากษายืน

Share