คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1106/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

วิธีดำเนินการของสมาคมซึ่งถือว่าเป็นการประกอบธุรกิจประกันชีวิตแล้ว (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2516)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม 2506 เวลากลางวันติดต่อไปจนถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2513 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนจำเลยทั้งแปดได้ร่วมกันเป็นตัวการประกอบกิจการทำการเป็นผู้รับประกันภัย โดยทำสัญญาประกันชีวิตกับบุคคลทั่ว ๆ ไป (บรรยายวิธีดำเนินการของจำเลยทั้งแปด) ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2510 มาตรา 7, 12, 72, 74, 95, 99 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน พ.ศ. 2470 มาตรา 7, 8 พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายฯ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2499 มาตรา 3 พระราชบัญญัติกำหนดกระทรวงเจ้าหน้าที่รักษาการตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน พ.ศ. 2471 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2499 มาตรา 3 และขอให้สั่งให้จำเลยหยุดดำเนินการประกันชีวิต

จำเลยทั้งแปดให้การภาคเสธว่า การดำเนินการของจำเลยมิใช่เป็นการประกันภัยหรือประกันชีวิต จำเลยขาดเจตนาในการกระทำผิด

ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ได้หนึ่งปาก แล้วสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดตามฟ้องพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดียังมีข้อเท็จจริงที่ยังโต้เถียงกันอยู่พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานทั้งสองฝ่ายในข้อเท็จจริง แล้วพิพากษาใหม่

จำเลยทั้งแปดฎีกา

คดีในชั้นฎีกาจึงมีปัญหาแต่เพียงว่า ข้อเท็จจริงเท่าที่ปรากฏตามท้องสำนวนจะพอวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่

ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามฟ้องโจทก์และคำให้การของจำเลยประกอบกับข้อความในหนังสือข้อบังคับของสมาคมจำเลยที่ 1 รวมกัน ฟังได้ว่าสมาชิกตามข้อบังคับของสมาคมจำเลยที่ 1 แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ สมาชิกสามัญ สมาชิกตลอดชีพ และสมาชิกกิติมศักดิ์ สมาชิกสามัญจะต้องชำระค่าบำรุงให้แก่สมาคมปีละ 10 บาท และต้องชำระเงินช่วยการกุศลแรกเข้าเป็นค่าช่วยเหลือการสร้างเตาอบ (เตาเผาศพ) กับชำระเงินค่าช่วยในการทำศพให้แก่สมาชิกที่ถึงแก่กรรมคนละ 10 บาท เงินช่วยการกุศลแรกเข้านี้จำแนกอัตราการชำระออกได้ต่าง ๆ กันตามอายุของสมาชิก กล่าวคือ สมาชิกอายุ 20-60 ปี ชำระ 20 บาท สมาชิกอายุกว่า 60 ปีขึ้นไปจนถึง 65 ปี ชำระ 100 บาท ส่วนสมาชิกตลอดชีพไม่ต้องเสียค่าสงเคราะห์รายศพ คงเสียแต่ค่าช่วยการกุศลแรกเข้าเท่านั้น โดยเสียตามหลักเกณฑ์ดังนี้ สมาชิกอายุ 20 ถึง 40 ปี ชำระครั้งเดียว 2,000 บาท อายุกว่า 40 ปีถึง 60 ปี ชำระครั้งเดียว 2,500 บาท อายุกว่า 60 ปีถึง 70 ปี ชำระครั้งเดียว 4,000 บาท สำหรับสมาชิกกิติมศักดิ์ไม่ต้องชำระเงินค่าธรรมเนียมใด ๆ เลย เว้นแต่จะสมัครใจเอง ผู้ที่ยื่นใบสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกจะต้องชำระค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าบำรุงปีแรกทันที แต่จะมีสิทธิและหน้าที่โดยสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อเวลาล่วงมานับจากวันที่สมาคมจำเลยที่ 1 ลงชื่อรับในใบสมัครแล้วครบ 30 วัน สมาชิกทุกประเภทมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์จากสมาคมตามจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ทั้งหมดในวันที่สมาชิกถึงแก่กรรม แต่ให้เหรัญญิกหักเงินไว้ก่อนจ่ายร้อยละ 20 ของจำนวนเงินสงเคราะห์ทั้งหมด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของสมาคมจำเลยที่ 1 เจ้าภาพจัดการศพของสมาชิกผู้ถึงแก่กรรมมีหน้าที่ที่จะต้องรีบแจ้งให้เลขานุการของสมาคมจำเลยที่ 1 ทราบ ส่วนเพื่อนสมาชิกที่ยังมีชีวิตอยู่จะต้องรีบส่งเงินสงเคราะห์ศพมาภายใน 7 วันนับแต่วันที่ปรากฏในใบแจ้งความของจำเลยที่ 1 สมาชิกที่ขาดจากสมาชิกภาพโดย 1. การลาออก 2. ไม่ส่งเงินสงเคราะห์ศพ 3. ประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์หรือเป็นที่เสื่อมเสียแก่สมาคม และ 4.ย้ายภูมิลำเนาไปโดยไม่แจ้งให้สมาคมทราบและไม่ติดต่อกับสมาคมจนสมาคมไม่สามารถติดต่อได้สมาชิกทั้ง 4 ประเภทดังกล่าวแล้วนี้จะหมดสิทธิเรียกร้องใด ๆ จากสมาคมจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น

ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า วิธีดำเนินการของจำเลยที่ 1ตามที่ปรากฏในหนังสือข้อบังคับซึ่งโจทก์ส่งอ้างและจำเลยรับว่าถูกต้องนั้น ถือได้แล้วว่าเป็นการประกอบธุรกิจของจำเลยที่ 1 อย่างหนึ่ง จากธุรกิจอันนี้จำเลยที่ 1 ย่อมจะต้องได้รับผลประโยชน์เป็นรายได้สุทธิแน่นอนจากบรรดาสมาชิก คือ ค่าบำรุงคนละ 10 บาทต่อปี นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายที่หักไว้ร้อยละ 20 จากเงินสงเคราะห์ที่จำเลยที่ 1 จะให้แก่ผู้จัดการศพของสมาชิกซึ่งถึงแก่กรรมนั้นก็ย่อมอาจจะใช้จ่ายไปไม่หมด ยังคงมีเหลืออยู่ด้วยบ้างก็ได้และเงินค่าธรรมเนียมแรกเข้าซึ่งอ้างว่าจะเอาไปทำเตาอบ (เตาเผาศพ) ก็เรียกเก็บอยู่ตลอดไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งย่อมจะเป็นการแน่นอนว่าเมื่อเตาอบนั้นสร้างเสร็จแล้ว เงินจำนวนนี้ก็ย่อมจะตกเป็นผลประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ทั้งหมดนั่นเอง จึงเป็นที่เห็นได้ว่า ถ้าหากจำเลยที่ 1 ดำเนินการไปตามข้อบังคับจริง และเมื่อใดมีผู้แสดงเจตนามาตกลงเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมจำเลยที่ 1 แล้ว กรณีก็ย่อมถือได้ว่าได้มีการก่อให้เกิดสัญญาผูกพันขึ้นระหว่างผู้นั้นกับจำเลยที่ 1 แล้ว และมีผลบังคับต่อกันได้ตามกฎหมาย หาใช่เป็นการช่วยเหลือกันระหว่างสมาชิกเพื่อการกุศลโดยไม่มีข้อผูกพันไม่ และสัญญาเช่นว่านี้ก็มีเงื่อนไขอยู่ว่า การที่จะใช้เงินให้แก่กันนั้นย่อมอาศัยความมรณะของบุคคลผู้เป็นสมาชิก หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าสมาชิกคู่สัญญาตายลงเมื่อใด จำเลยที่ 1 ก็มีหน้าที่ที่จะจัดหาเงินมาให้แก่ทายาทผู้จัดการศพเป็นเงินจำนวนหนึ่ง จำเลยที่ 1 จะจัดหาเงินมาจากที่ไหนโดยวิธีใดนั้น หาเป็นข้อสำคัญไม่ ฝ่ายสมาชิกก็ต้องถือว่าได้ยินยอมตกลงกับจำเลยที่ 1 แล้วว่าจะส่งเงินในลักษณะเป็นเบี้ยประกันภัยให้แก่จำเลยที่ 1 ทั้งนี้ แล้วแต่ว่าจะเป็นสมาชิกประเภทใด ถ้าเป็นสมาชิกสามัญก็ต้องส่งเงินค่าบำรุงเป็นรายปีแต่ถ้าเป็นสมาชิกตลอดชีพก็ต้องชำระเป็นเงินจำนวนเดียว เมื่อแรกเข้ามาเป็นสมาชิก ผลแห่งสัญญาเช่นว่านี้ย่อมจะเห็นได้ว่าถ้าสมาชิกตลอดชีพผู้ใดตายเร็วสมาคมจำเลยที่ 1 ก็จะได้เงินผลประโยชน์มากขึ้น ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าสัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 กับบรรดาสมาชิกอันเกิดขึ้นตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ก็ย่อมจะเข้าลักษณะเป็นสัญญาประกันชีวิตตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเองและโดยเหตุที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นสมาคม ไม่ใช่เป็นบริษัท จำกัด ฉะนั้น ถ้าหากจำเลยที่ 1 ได้ประกอบธุรกิจตามข้อบังคับดังกล่าวข้างต้นเมื่อใด ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ประกอบธุรกิจการประกันชีวิตโดยได้รับผลประโยชน์แล้วศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ถ้าข้อเท็จจริงได้ความเช่นนั้นแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 อาจเป็นความผิดตามกฎหมายที่โจทก์ฟ้องได้ จึงยังมีความจำเป็นที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าจำเลยทั้งแปดได้ร่วมกันลงมือกระทำความผิดตามฟ้องเพียงใดหรือไม่

พิพากษายืน

Share