คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1172/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่โจทก์ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์จำเลยบุกรุกและลักทรัพย์ (ขุดหินลูกรัง) ในที่พิพาทขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกและลักทรัพย์ และขอให้ห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องที่พิพาท ตลอดจนให้ชดใช้ค่าเสียหายทดแทนให้โจทก์นั้น เมื่อในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาของศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ถึงที่สุดแล้วว่า โจทก์มิใช่เจ้าของที่พิพาท ดังนี้ ศาลฎีกาก็จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวฉะนั้น ที่โจทก์ฎีกาขอให้พิพากษาคดีส่วนแพ่งว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า นายละใบนาฝีได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินบ้านและที่ดินสวนยางให้แก่บุตรซึ่งได้แก่โจทก์ นางยาหราบและนายตะหมิม เมื่อนายละใบนาฝีตาย ทายาทได้แบ่งทรัพย์ตามพินัยกรรม โจทก์ได้รับที่ดินสวนยาง 1 แปลง ซึ่งโจทก์ก็ได้เข้าครอบครองด้วยความสงบและเปิดเผยกว่า 10 ปีแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 12 ถึง 29 กรกฎาคม 2509 จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ฟ้องได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินสวนยางดังกล่าวของโจทก์เพื่อเจตนาจะถือการครอบครองในอสังหาริมทรัพย์นั้นหรือเพื่อเข้าไปทำการลักทรัพย์เก็บขนเอามูลดินในสวนของโจทก์ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุขและได้ร่วมกันขุดลักเอาหินลูกรังในสวนอันเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่มีไว้สำหรับประกอบกสิกรรม ทำให้โจทก์เสียหาย ทั้งยังได้กระทำให้ต้นยางโจทก์โค่นล้มอีกด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365(1)(2), 358, 359(4),334, 335(7)(12) และ 83 กับขอให้พิพากษาแสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเกี่ยวกับหินลูกรังและต้นยาง พร้อมด้วยดอกเบี้ย

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูลเฉพาะข้อหาฐานบุกรุกและลักทรัพย์ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา

จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า นายละใบนาฝีได้ยกที่ดินซึ่งรวมทั้งสวนยางให้แก่นายตะหมิม แล้วนายตะหมิมก็ได้ครอบครองปลูกเรือนอาศัยก่อนตายนายตะหมิมได้แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่บุตรคือ จำเลยที่ 1นางรอเกียะและนายหมาด จำเลยที่ 1 และนางรอเกี๊ยะ ได้รับที่ดินแปลงอื่น ส่วนนายหมาดได้ที่พิพาท ซึ่งนายหมาดก็ได้ครอบครองตลอดมา จำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 2 เป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของนายหมาด ได้ให้ผู้อื่นเข้าขุดดินในที่พิพาท โดยนายหมาดเป็นผู้อนุญาต ความเสียหายไม่สูงอย่างที่โจทก์เรียกร้องในคดีส่วนอาญา จำเลยให้การปฏิเสธและขอให้ยกฟ้องในส่วนแพ่งด้วย

ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาคดีนี้กับคดีอาญาอีกสำนวนหนึ่ง ซึ่งโจทก์ฟ้องนายหมาดหาว่าร่วมกับจำเลยทั้งสองกระทำความผิดรายเดียวกับที่ฟ้องคดีนี้ แล้วศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของนายตะหมิม เมื่อนายตะหมิมตาย ที่พิพาทตกได้แก่นายหมาดจำเลย ฉะนั้น นายหมาดจะจัดการอย่างไรกับที่พิพาท ก็เป็นสิทธิของนายหมาดที่จะกระทำได้ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา

ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในคดีส่วนอาญาทั้งสองคดี เพราะศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาไม่ได้คงให้รับฎีกาเฉพาะคดีส่วนแพ่งในคดีนี้

ปัญหาที่มาสู่ศาลฎีกาคงมีเฉพาะปัญหาทางคดีส่วนแพ่งซึ่งมีอยู่ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์จริงหรือไม่ เท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีส่วนแพ่งดังกล่าวนี้เกี่ยวเนื่องกับคดีส่วนอาญาที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุกและลักทรัพย์ที่พิพาท ซึ่งมีประเด็นสำคัญจะต้องวินิจฉัยในคดีส่วนอาญานั้นว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือของนายหมาดจำเลยฉะนั้น ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งนี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น ตามมาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ถึงที่สุดแล้วมีว่า ที่พิพาทเป็นของนายหมาดจำเลยอันศาลฎีกาจำต้องถือตามแล้ว ก็รับฟังข้อเท็จจริงไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ฎีกาโจทก์ที่ขอให้ศาลพิพากษาคดีส่วนแพ่งว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องตลอดจนให้ชดใช้ค่าเสียหายทดแทนให้โจทก์จึงฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share