คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 832/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องว่า หากทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องก็ต้องต่อสู้คดีแน่นอน เพราะจำเลยไม่เคยทำสัญญากู้เงิน สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และสัญญาค้ำประกันตามฟ้องโจทก์ หากจำเลยได้มีโอกาสต่อสู้คดีและนำพยานหลักฐานเข้าสืบแล้วจะทำให้คำพิพากษาของศาลเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยเป็นเพียงข้ออ้างลอย ๆ ไม่ได้ยกเหตุผลขึ้นประกอบโดยละเอียดและชัดแจ้งว่า หากจำเลยได้ต่อสู้คดีและนำพยานหลักฐานเข้าสืบแล้ว จะทำให้คำพิพากษาของศาลเปลี่ยนแปลงอย่างไร ทั้งไม่ได้อ้างเหตุว่าคำพิพากษาไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนตรงไหน ส่วนใด นอกจากนั้นก็ไม่ได้แสดงเหตุผลว่า หากมีการอนุญาตให้พิจารณาใหม่ คำพิพากษาจะเปลี่ยนแปลงเป็นผลดีแก่จำเลยอย่างไร จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง
ศาลชั้นต้นตรวจรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยแล้วการสั่งรับคำร้องเป็นเพียงกระบวนการเบื้องต้นที่จะให้คำร้องนั้นเข้าสู่กระบวนพิจารณาของศาล มิได้ตัดอำนาจของศาลในการพิจารณาคำร้องนั้นต่อไปว่าชอบหรือไม่ ในชั้นตรวจรับคำร้อง แม้ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งยกคำร้องทันที แต่ได้นัดไต่สวนคำร้องไว้ก็ตาม เมื่อถึงวันนัด หากศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งยกคำร้องได้ เมื่อเห็นว่า คำร้องดังกล่าวมิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บทกฎหมายกำหนดไว้ หาจำต้อง ไต่สวนต่อไปไม่ เพราะเป็นการเปล่าประโยชน์

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี สัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันจำเลยทั้งห้าขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์

จำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ อ้างว่าจำเลยทั้งห้าไม่เคยทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง จำเลยทั้งห้าไม่เคยทำสัญญากู้เงิน สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้และเบิกเงินเกินบัญชีเลย โจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยทั้งห้าชำระเงิน หากจำเลยทั้งห้ามีโอกาสต่อสู้คดีและนำพยานหลักฐานเข้าสืบแล้วจะทำให้คำพิพากษาของศาลเปลี่ยนแปลงไป

โจทก์คัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำร้องของจำเลยทั้งห้าไม่ได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง ให้ยกคำร้อง

จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยทั้งห้าฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งห้าว่าคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยทั้งห้าได้กล่าวโดยชัดแจ้งถึงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลแล้วหรือไม่ จำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องว่า หากทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ก็ต้องต่อสู้คดีแน่นอน เพราะจำเลยทั้งห้าไม่เคยทำสัญญากู้เงิน สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและสัญญาค้ำประกันตามฟ้องโจทก์หากจำเลยทั้งห้าได้มีโอกาสต่อสู้คดีและนำพยานหลักฐานเข้าสืบแล้วจะทำให้คำพิพากษาของศาลเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอนนั้น เห็นว่า คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยทั้งห้าเป็นเพียงข้ออ้างลอย ๆ ไม่ได้ยกเหตุผลขึ้นประกอบโดยละเอียดและชัดแจ้งว่าหากจำเลยทั้งห้าได้ต่อสู้คดีและนำพยานหลักฐานเข้าสืบแล้วจะทำให้คำพิพากษาของศาลเปลี่ยนแปลงอย่างไรทั้งไม่ได้อ้างเหตุว่าคำพิพากษาไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนตรงไหน ส่วนใด นอกจากนั้นก็ไม่ได้แสดงเหตุผลว่าหากมีการอนุญาตให้พิจารณาใหม่ คำพิพากษาจะเปลี่ยนแปลงเป็นผลดีแก่จำเลยทั้งห้าอย่างไร จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง

จำเลยทั้งห้าฎีกาต่อมาว่า ศาลชั้นต้นตรวจรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยทั้งห้าแล้ว จึงน่าจะมีการไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยทั้งห้าเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดการไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้องเช่นนี้เป็นการวินิจฉัยกลับคำสั่งของตนเอง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า การสั่งรับคำร้องเป็นเพียงกระบวนการเบื้องต้นที่จะให้คำร้องนั้นเข้าสู่กระบวนพิจารณาของศาลมิได้ตัดอำนาจของศาลในการพิจารณาคำร้องนั้นต่อไปว่าชอบหรือไม่ ในชั้นตรวจรับคำร้อง แม้ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งยกคำร้องทันที แต่ได้นัดไต่สวนคำร้องไว้ก็ตามเมื่อถึงวันนัด หากศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งยกคำร้องได้ เมื่อเห็นว่า คำร้องดังกล่าวมิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บทกฎหมายกำหนดไว้ หาจำต้องไต่สวนต่อไปไม่ เพราะเป็นการเปล่าประโยชน์

พิพากษายืน

Share