คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7991/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/27 ประกอบมาตรา 745 บังคับผู้รับจำนองว่าจะใช้สิทธิบังคับให้นำเงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จำนองชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้เท่านั้นแต่มิได้ห้ามผู้รับจำนองให้เรียกดอกเบี้ยเกินห้าปีนับแต่วันฟ้อง ผู้รับจำนองจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปได้ ส่วนการเรียกดอกเบี้ยย้อนหลังแม้จำเลยผู้จำนองฎีกายินยอมให้โจทก์ผู้รับจำนองเรียกได้เป็นเวลา 5 ปีตั้งแต่ก่อนวันฟ้องก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยไม่ทบต้นเป็นเวลาเพียงห้าปีนับแต่วันฟ้องย้อนหลังขึ้นไป ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยรับผิดเกินกว่าที่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/27 บัญญัติไว้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้จำนวน 271,982.59 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 180,861.64 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 151 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ส่วนที่ขาดให้แก่โจทก์จนครบถ้วน

จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ฟ้องเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 1 ปีนับแต่โจทก์ได้รู้ถึงความตายของนายประหยัด คดีจึงขาดอายุความ ทรัพย์มรดกของนายประหยัดทายาทได้แบ่งปันกันหมดแล้วโดยจำเลยทั้งสองไม่ได้รับส่วนแบ่ง จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดใช้หนี้ตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้จำนวน271,982.59 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงินจำนวน180,861.64 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 151 พร้อมสิ่งปลูกสร้างทรัพย์จำนองของนายประหยัด เพ็ชรตะกั่ว ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินมาชำระหนี้ไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ส่วนที่ขาดให้แก่โจทก์จนครบถ้วน แต่ต้องไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกของนายประหยัดที่ตกได้แก่จำเลยทั้งสอง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ ให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จำนองชำระหนี้โจทก์จำนวน 105,813.09 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปีโดยไม่ทบต้นนับแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ดังกล่าว จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ส่วนที่ขาดแก่โจทก์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติว่า นายประหยัด เพ็ชรตะกั่ว ผู้ตาย ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2530 นายประหยัดได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 151 ไว้กับโจทก์เพื่อประกันหนี้ นายประหยัดเป็นหนี้โจทก์ก่อนถึงแก่ความตาย คำนวณเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2530 เป็นเงิน 105,813.09 บาท และโจทก์คิดดอกเบี้ยจากนายประหยัดขณะนั้นอัตราร้อยละ 14 ต่อปี โจทก์ฟ้องคดีนี้หลังจากที่ทราบการตายของนายประหยัดเกิน 1 ปี สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงขาดอายุความ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า โจทก์จะบังคับให้นำเงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จำนองชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/27 หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวจำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ควรจะบังคับให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยไม่ทบต้นมีกำหนดระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2530 นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/27 บัญญัติไว้ว่า ผู้รับจำนอง ผู้รับจำนำ ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองจำนำ หรือที่ได้ยึดถือไว้ แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้ มาตรา 745 ก็บัญญัติว่า ผู้รับจำนองจะบังคับจำนองแม้เมื่อหนี้ที่ประกันนั้นขาดอายุความแล้วก็ได้แต่จะบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระในการจำนองเกินกว่าห้าปีไม่ได้ ตามบทบัญญัติดังกล่าวบังคับโจทก์ในฐานะผู้รับจำนองจะใช้สิทธิบังคับให้นำเงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จำนองชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้เท่านั้น มิได้ห้ามโจทก์ให้เรียกดอกเบี้ยเกินห้าปีนับแต่วันฟ้อง ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปได้ ส่วนการเรียกดอกเบี้ยย้อนหลังนั้น แม้จำเลยทั้งสองฎีกายินยอมให้โจทก์เรียกได้เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2530 นั้น เห็นว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยไม่ทบต้นเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันฟ้องย้อนหลังขึ้นไป ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จำนองชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปีโดยไม่ทบต้น นับแต่วันฟ้องย้อนหลังขึ้นไปเป็นเวลาห้าปี กับนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share