แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำให้การและคำเบิกความของพยานโจทก์ที่ว่าจำเลยใช้ให้ บ. กับ ส. ฆ่าผู้ตายนั้น ในส่วนสาระสำคัญสอดคล้องกันทุกประการ จะมีแตกต่างกันบ้างก็เป็นเพียง พลความเท่านั้นไม่ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ขาดน้ำหนักในการรับฟัง และในที่สุด บ. กับ ส. มิได้เป็นคนร้ายฆ่าผู้ตาย คนร้ายที่ฆ่าผู้ตายเป็นกลุ่มบุคคลอื่น ซึ่งต่อมาถูกดำเนินคดีและศาลพิพากษาลงโทษแล้ว กลุ่มคนร้ายที่ฆ่าผู้ตาย ไม่มีความเกี่ยวพันกับ บ. และ ส.หากเรื่องไม่เป็นความจริงก็ไม่น่าเชื่อว่าพยานโจทก์จะแกล้งปรักปรำจำเลยในความผิด ข้อหาอุกฉกรรจ์พยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้โดยปราศจากสงสัย ว่าจำเลยใช้ให้ บ.และ ส. ฆ่าผู้ตาย แต่ บ.และ ส. มิได้กระทำการตามที่จำเลยใช้ จำเลยจึงมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 วรรคหนึ่งและวรรคสองตอนท้าย ประกอบมาตรา 289(4) คำซัดทอดระหว่างผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้รับฟังคำให้การเช่นว่านี้เสียทีเดียวหากการซัดทอดมีเหตุผลรับฟังได้ ศาลมีอำนาจรับฟังมาประกอบการพิจารณาได้ ว. จำคนร้ายไม่ได้และไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นใครขณะเกิดเหตุ ว. กำลังขับรถคนร้ายยิงผู้ตายแล้วขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปทันที ว. ทราบเหตุต่อเมื่อผู้ตายถูกยิงแล้ว และล้มตัวเข้ามาหาพร้อมกับบอกว่าถูกยิง เชื่อว่าขณะนั้นคนร้ายหลบหนีไปแล้ว คำเบิกความของ ว. จึงไม่มีผลทำลายน้ำหนักพยานหลักฐานอื่นของโจทก์หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจจับ ส. และ น. ได้ บุคคลทั้งสองพาไปหาหมวกกันน็อกที่ทิ้งไว้ในป่าหญ้าข้างทาง ปรากฏว่าหมวกใบหนึ่งมีเส้นผมติดอยู่ จากการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญ ปรากฏว่าเป็นเส้นผมของ น. การตรวจพิสูจน์นี้เป็นการทำตามหลักวิชาและมีความแน่นอนสามารถเชื่อถือได้ ประกอบกับ อาวุธปืนที่ น. ใช้ยิงผู้ตายได้มีการดัดแปลงแก้ไขให้ผิดไปจากเดิมอันเป็นพิรุธ พยานหลักฐานของโจทก์ มีน้ำหนักมั่นคงโดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่น ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทำของจำเลยคือการติดต่อว่าจ้าง อ.กับ ก.ให้ฆ่าผู้ตาย ที่ ก.ขอให้ ส.เข้ามาช่วยเหลือแล้วส. ไปว่าจ้าง กต.และสจ. ให้มาร่วมก็เพียงเพื่อให้สามารถฆ่าผู้ตายให้สำเร็จตามที่ ก. รับจ้างมาจากจำเลยเมื่อ กต.กับสจ.ล้มเลิกส. และ ก. จึงไปติดต่อ น.กับ ช.ให้เข้ามาร่วมทำงานต่อไปจนสำเร็จการที่ส.ก.กต.และสจ. ได้ร่วมกันไปดักยิงผู้ตายหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จแล้วในที่สุด ส.ก.น.และช. สามารถฆ่าผู้ตายได้สำเร็จ จึงเป็นผลของการกระทำที่สืบเนื่องติดต่อมาจากการว่าจ้างของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวอันเป็นความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 วรรคสอง ประกอบมาตรา 289(4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ
ก. ระหว่างเดือนธันวาคม 2537 ถึงเดือนมกราคม 2538 จำเลยกับพวกร่วมกันก่อให้นายสวัสดิ์ พมาลัย และนายบุญมีหรือมืด ดวงดอกมูลร่วมกันฆ่านายแสงชัย สุนทรวัฒน์ โดยไตร่ตรองไว้ก่อนด้วยการใช้ จ้าง วาน เป็นเงินค่าจ้าง 500,000 บาท แต่นายสวัสดิ์และนายบุญมีกลับใจไม่ยอมทำตามที่ได้รับการใช้ จ้าง วานจากจำเลยกับพวกเหตุเกิดที่แขวงบางกะปิ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง แขวงหัวหมากเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรี เกี่ยวพันกัน
ข. เมื่อเดือนตุลาคม 2538 จำเลยกับพวกร่วมกันก่อให้นายกนกศักดิ์หรือหนึ่ง อินทร์สมาน จำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1027/2539 หมายเลขแดงที่ 937/2539 ของศาลชั้นต้น และนายอิศวรหรือกิ่ง เพชรรักษา ร่วมกันฆ่านายแสงชัย สุนทรวัฒน์ โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ด้วยการใช้ จ้าง วาน เป็นเงินค่าจ้าง 200,000 บาทแต่นายกนกศักดิ์และนายอิศวรไม่สามารถร่วมกันฆ่านายแสงชัยได้สำเร็จ เหตุเกิดที่แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานครและตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เกี่ยวพันกัน
ค. ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2539 ถึงเดือนมีนาคม 2539จำเลยกับพวกร่วมกันก่อให้นายสุนันท์หรือดำ วงศ์คำหาญ จำเลยที่ 1นายกนกศักดิ์หรือหนึ่ง อินทร์สมาน จำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1027/2539 หมายเลขแดงที่ 937/2539 ของศาลชั้นต้นนายสมเจตหรือปาน นนท์งาม และนายกิตติพลหรือโหน่ง อินทรปาลิตร่วมกันฆ่านายแสงชัย สุนทรวัฒน์ โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ด้วยการใช้จ้าง วาน เป็นเงินค่าจ้าง 200,000 บาท แต่นายสุนันท์ นายกนกศักดิ์นายสมเจตและนายกิตติพลไม่สามารถร่วมกันฆ่านายแสงชัยได้สำเร็จเหตุเกิดที่แขวงใดไม่ปรากฏชัด เขตดอนเมือง แขวงห้วยขวางเขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร และตำบลบางพูด ตำบลบางตลาดอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เกี่ยวพันกัน
ง. ระหว่างเดือนมีนาคม 2539 ถึงวันที่ 11 เมษายน 2539เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกับพวกร่วมกันก่อให้นายสุนันท์หรือดำวงศ์คำหาญ จำเลยที่ 1 นายกนกศักดิ์หรือหนึ่ง อินทร์สมานจำเลยที่ 2 นายนฤทุกข์หรือกิจหรือกฤษ อุ่นตระกูล จำเลยที่ 3และนายชัยชนะหรือเล็ก คงหนุน จำเลยที่ 4 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1027/2539 หมายเลขแดงที่ 937/2539 ของศาลชั้นต้น ร่วมกันฆ่านายแสงชัย สุนทรวัฒน์ โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ด้วยการใช้ จ้าง วานเป็นเงินค่าจ้าง 400,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2539เวลากลางคืนหลังเที่ยง นายสุนันท์ นายกนกศักดิ์ นายนฤทุกข์และนายชัยชนะได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายแสงชัยถึงแก่ความตายสมดังเจตนาที่จำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้ จ้าง วาน เหตุเกิดที่แขวงบางกะปิ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิกรุงเทพมหานคร ตำบลสันทราย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่และตำบลบางพูด ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีเกี่ยวพันกัน วันที่ 15 พฤษภาคม 2539 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 83, 84, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางวัชรี สุนทรวัฒน์ ภรรยานายแสงชัยสุนทรวัฒน์ ผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ความผิดนั้นยังไม่ได้กระทำลงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4),84 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 52, 53 รวม 2 กระทง ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 25 ปี และมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบมาตรา 84 อีกกระทงหนึ่งให้วางโทษประหารชีวิต เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงให้ประหารชีวิตจำเลยเพียงสถานเดียว ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแต่ความผิดนั้นยังไม่ได้กระทำลงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) มาตรา 84 วรรคสองตอนท้าย ประกอบมาตรา 52(1), 53 ให้ลงโทษจำคุก 25 ปี และมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 84 วรรคสองตอนต้น อีกกระทงหนึ่ง ให้วางโทษประหารชีวิต เมื่อรวมโทษทั้งสองกระทงแล้วคงให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยสถานเดียว
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าการกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องข้อ ข. ค. และ ง. เป็นความผิดต่างกรรมกันหรือไม่ และตามฎีกาจำเลยว่าจำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 หรือไม่ และศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยฎีกาของจำเลยก่อน ปัญหาข้อแรกตามฎีกาของจำเลยมีว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องข้อ ก. หรือไม่ เห็นว่า วันรุ่งขึ้นของคืนเกิดเหตุกรมตำรวจได้ตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนขึ้นคณะหนึ่งเพื่อสืบหาคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดี จากคำเบิกความของพันตำรวจเอกภาณุพงษ์ สิงหรา ณ อยุธยา พนักงานสอบสวนผู้หนึ่งได้ความว่า วันที่ 30 เมษายน 2539 ทราบจากสายลับว่านายบุญมีหรือมืด ดวงดอกมูล กับนายสวัสดิ์ พมาลัย ซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงรายเคยถูกว่าจ้างให้ฆ่าผู้ตายพันตำรวจเอกภาณุพงษ์กับพวกจึงเดินทางไปติดตามตัวนายบุญมีและนายสวัสดิ์ที่จังหวัดเชียงราย พบนายบุญมีในวันที่ 6 พฤษภาคมกับพบนายสวัสดิ์ที่จังหวัดพะเยาในวันที่ 12 เดือนเดียวกันสอบถามบุคคลทั้งสองแล้วได้ความสอดคล้องกันว่าในปลายปี 2537 จำเลยเคยว่าจ้างให้ฆ่าผู้ตายเป็นเงิน 500,000 บาท พันตำรวจเอกภาณุพงษ์กับพวกจึงนำนายบุญมีกับนายสวัสดิ์มาที่กองปราบปราม กรุงเทพมหานคร แล้วทำการสอบสวนในวันที่ 13 พฤษภาคม 2539 ตามคำให้การของนายบุญมีเอกสารหมาย จ.85 และคำให้การของนายสวัสดิ์เอกสารหมาย จ.136 ในชั้นพิจารณาของศาล โจทก์มีนายบุญมีมาเป็นพยานเบิกความว่าเมื่อได้ทราบข่าวว่าผู้ตายถูกคนร้ายยิงตายก็นึกถึงนายสวัสดิ์และจำเลย เพราะเมื่อปลายปี 2537 นายสวัสดิ์เคยพานายบุญมีไปพบจำเลยที่กรุงเทพมหานคร โดยพากันไปพักที่บ้านของลูกสาวของนายบุญมีย่านดอนเมือง และพบจำเลยครั้งแรกที่ร้านขายไอศกรีมที่ศูนย์การค้าแถวหลักสี่ การพบกันครั้งนั้นจำเลยให้เงินคนละ10,000 บาท เป็นค่าใช้จ่าย หลังจากแยกกันกับจำเลยแล้ว นายสวัสดิ์ขับรถกระบะของลูกสาวนายบุญมีพาไปดูบ้านของผู้ตายที่หมู่บ้านเมืองทองธานี นายสวัสดิ์บอกว่าเป็นคนที่จะให้นายบุญมีลงมือฆ่ามีค่าจ้าง 500,000 บาท แต่นายบุญมีเหตุว่าบ้านของผู้ตายเป็นบ้านหลังใหญ่ คิดว่าเจ้าของบ้านเป็นคนดีจึงไม่คิดจะฆ่า ต่อมานายสวัสดิ์ขับรถพาไปบ้านนางสะไบทิพย์ จรัสวิทย์ น้องภรรยาของนายสวัสดิ์ซึ่งมีสามีชื่อนายสุชาติ จรัสวิทย์ เมื่อบุคคลทั้งสองทราบว่านายสวัสดิ์กับนายบุญมีมาดูลาดเลาเพื่อจะรับจ้างฆ่าผู้ตาย นางสะไบทิพย์กับนายสุชาติก็พูดห้ามไว้รุ่งเช้านายสวัสดิ์ขับรถกระบะคันเดิมพานายบุญมีไปบ้านของจำเลยแล้วจำเลยพาไปดูที่ทำงานของผู้ตายที่องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) เมื่อไปถึงจำเลยาไปดูภาพถ่ายของผู้ตายที่ติดไว้ที่ป้ายประกาศชั้นล่าง แต่นายบุญมีไม่สนใจเพราะเห็นบ้านของผู้ตายแล้วก็ท้อใจไม่อยากจะทำงานนี้ หลังจากนั้นก็พากันขึ้นลิฟต์ไปชั้นที่ 5 เมื่อประตูลิฟต์เปิด จำเลยก็ชี้ให้ดูที่ทำงานของผู้ตายโดยมิได้ออกจากลิฟต์ เสร็จแล้วพากันลงมาชั้นล่างแล้วแยกย้ายกันกลับโดยก่อนกลับจำเลยให้เงินเป็นค่าใช้จ่ายอีก 10,000 บาทระหว่างทางกลับที่พักนายบุญมีพูดกับนายสวัสดิ์ว่างานนี้ทำไม่ได้เพราะคนที่จะให้ฆ่าเป็นคนดี และเป็นคนใหญ่คนโตด้วย นายสวัสดิ์ก็พูดว่าเมื่อนายบุญมีไม่ทำเขาก็ไม่ทำ เย็นวันนั้นก็พากันกลับจังหวัดเชียงราย คำเบิกความของนายบุญมีดังกล่าวโจทก์มีนางสะไบทิพย์และนายสุชาติมาเป็นพยานเบิกความสนับสนุนจากคำเบิกความของนางสะไบทิพย์และนายสุชาติได้ความว่านายสวัสดิ์เคยพานายบุญมีมาเยี่ยมในช่วงเวลาตามที่นายบุญมีเบิกความไว้จริง จากการสอบถามนายสวัสดิ์บอกว่ามีคนว่าจ้างให้มาฆ่าผู้ตายนางสะไบทิพย์และนายสุชาติจึงได้พูดห้ามปรามมิให้รับทำ คำเบิกความของนางสะไบทิพย์นายสุชาติและนายบุญมีต่างสอดคล้องกันและไม่มีพิรุธให้น่าสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย นอกจากนั้นยังสอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของนายบุญมีตามเอกสารหมาย จ.85 และของนายสวัสดิ์ตามเอกสารหมาย จ.136โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาคำให้การชั้นสอบสวนของนายบุญมีและนายสวัสดิ์ดังกล่าวแล้ว เห็นว่านายบุญมีและนายสวัสดิ์ได้ให้การถึงรายละเอียดต่าง ๆ ไว้มาก เป็นต้นว่า เมื่อนายสวัสดิ์ชวนนายบุญมีมาทำงานนี้ นายบุญมีบอกว่ายังไม่ขอรับปากแต่จะขอดูงานก่อน ในวันที่พากันเดินทางมาพบจำเลยที่กรุงเทพมหานครนั้นภรรยาของนายบุญมีก็มาด้วย โดยมาเยี่ยมลูกสาวและมากันโดยรถกระบะของนายบุญมี แต่ตอนนายสวัสดิ์พานายบุญมีไปดูบ้านของผู้ตายนั้น ได้ขับรถกระบะของลูกสาวนายบุญมีไป สาเหตุที่ไม่เอารถกระบะของนายบุญมีไปเพราะรถคันดังกล่าวขาดเสียภาษีประจำปี กลัวจะถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับเมื่อนายสวัสดิ์ไปบ้านนางสะไบทิพย์ นายสวัสดิ์ได้ถามนางสะไบทิพย์ว่ารู้จักผู้ตายหรือไม่ เหตุที่ถามเพราะไปเห็นบ้านของผู้ตายแล้วคิดว่าผู้ตายน่าจะเป็นคนสำคัญและในขณะที่พักอยู่ที่บ้านนางสะไบทิพย์ นายสุชาติก็ได้พาเที่ยวเกือบตลอดคืน และตอนที่จำเลยพานายบุญมีกับนายสวัสดิ์มาดูที่ทำงานของผู้ตายที่ อ.ส.ม.ท. นั้นนายบุญมีนั่งรถยี่ห้อวอลโว่มากับจำเลย ส่วนนายสวัสดิ์ขับรถกระบะของลูกสาวนายบุญมีตามมาและนำไปจอดไว้ที่ปากทางเข้าอ.ส.ม.ท. แล้วลงมาขึ้นรถของจำเลยไปด้วยกัน ขณะขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นที่ 5 ของ อ.ส.ม.ท. เมื่อเปิดประตูลิฟต์เปิด จำเลยก็ชี้ที่ทำงานของผู้ตายให้ดูโดยมิได้พากันออกจากลิฟต์ รายละเอียดเช่นนี้หากเรื่องไม่เป็นความจริงก็ไม่เชื่อว่านายบุญมีและนายสวัสดิ์จะนึกคิดแต่งเรื่องขึ้นเองนำมาเบิกความถึงได้ นอกจากนี้จากคำให้การของนายสวัสดิ์ยังได้ความอีกว่า ก่อนที่นายสวัสดิ์จะพานายบุญมีมาพบจำเลยประมาณ 1 เดือน นายสวัสดิ์ นายศรีไทยเครือวงศ์ เคยพานายนิคม สมควรนำรถยี่ห้อวอลโว่ของนายนิคมมาจำนำไว้กับจำเลยเป็นเงิน 300,000 บาท ครั้งนั้นจำเลยบอกบุคคลทั้งสามให้ช่วยหามือปืนไปฆ่าผู้ตายให้ และได้ขับรถพาไปดูบ้านของผู้ตายด้วยตนเอง และก่อนที่นายสวัสดิ์ นายศรีไทยกับนายนิคมจะกลับจังหวัดเชียงราย จำเลยได้ให้หมายเลขโทรศัพท์มือถือของจำเลยแก่นายสวัสดิ์และนายนิคมไว้ด้วยส่วนนายศรีไทยทราบหมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยแล้ว จำเลยบอกว่าหากหามือปืนได้ก็ให้ติดต่อมา ภายหลังนายสวัสดิ์จึงได้พานายบุญมีมาพบจำเลยตามที่ได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น ที่จำเลยฎีกาว่าคำให้การของนายสวัสดิ์ นายบุญมี กับคำเบิกความของนายบุญมี นายสุชาติและนางสะไบทิพย์แตกต่างกันไม่น่าเชื่อถือนั้น เห็นว่า คำให้การและคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวในส่วนสาระสำคัญแล้วสอดคล้องกันทุกประการ จะมีแตกต่างกันบ้างก็เป็นเพียงพลความเท่านั้นซึ่งก็ไม่ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ขาดน้ำหนักในการรับฟังแต่อย่างใดทั้งจะเห็นได้ว่าในที่สุดนายบุญมีกับนายสวัสดิ์มิได้เป็นคนร้ายฆ่าผู้ตายคนร้ายที่ฆ่าผู้ตายนั้นเป็นบุคคลกลุ่มอื่น ซึ่งต่อมาถูกดำเนินคดีและศาลพิพากษาลงโทษกลุ่มคนร้ายที่ฆ่าผู้ตายก็ไม่มีความเกี่ยวพันกับนายบุญมีและนายสวัสดิ์แต่อย่างใดหากเรื่องไม่เป็นความจริงก็ไม่เชื่อว่าพนักงานสอบสวน นายบุญมีนายสวัสดิ์ นายสุชาติและนางสะไบทิพย์จะแกล้งปรักปรำจำเลยในความผิดข้อหาอุกฉกรรจ์เช่นนี้ เห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยใช้ให้นายสวัสดิ์และนายบุญมีฆ่าผู้ตายจริง แต่นายสวัสดิ์และนายบุญมีมิได้กระทำการตามที่จำเลยใช้ จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 วรรคหนึ่งและวรรคสองตอนท้าย ประกอบมาตรา 289(4)ตามฟ้องข้อ ก. ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จำเลยฎีกาต่อมามีว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องข้อ ข.ข้อ ค. และข้อ ง. หรือไม่ ปัญหาข้อนี้เห็นว่า ที่เจ้าพนักงานตำรวจจับนายสุนันท์หรือดำ วงศ์คำหาญ นายกนกศักดิ์หรือหนึ่ง อินทร์สมานนายนฤทุกข์หรือกฤษ อุ่นตระกูล และนายชัยชนะหรือเล็ก คงหนุนมาดำเนินคดีฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2539 มีคนร้ายยิงนายนรุต สัตยาลัยได้รับบาดเจ็บที่หมู่บ้านสัมมากร เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานครจากหลักฐานที่เจ้าพนักงานตำรวจพบในที่เกิดเหตุทำให้สามารถจับนายกิตติพลหรือโหน่ง อินทรปาลิต และนายสมเจตหรือปาน นนท์งามผู้ต้องหาในคดีนั้นได้ จากคำเบิกความของพันตำรวจโทคณิศร์ชัยมหินทรเทพ และพันตำรวจโทปรีชา ธิมามนตรี พยานโจทก์และโจทก์ร่วมได้ความว่า เมื่อจับผู้ต้องหาในคดีนั้นได้แล้วได้พาไปค้นห้องพักของนายกิตติพล จากหลักฐานที่ค้นพบประกอบกับการสอบถามนางอุษาโสภาวัลย์ ภรรยาของนายกิตติพล และนายกิตติพลกับนายสมเจต ทราบว่าก่อนเกิดเหตุที่ผู้ตายถูกคนร้ายยิงตายนั้น นายกนกศักดิ์และนายสุนันท์เคยว่าจ้างให้นายกิตติพลกับนายสมเจตฆ่าผู้ตายมาก่อนแล้ว แต่นายกิตติพลกับนายสมเจตกระทำไม่สำเร็จจึงเลิกเสียในเบื้องต้นพันตำรวจโทปรีชากับพวกยังไม่เชื่อตามคำบอกเล่าของนายกิตติพลและนายสมเจต จึงให้แยกนำตัวไปชี้สถานที่ที่บุคคลทั้งสองอ้างว่าไปดักยิงผู้ตายก็ปรากฏว่าตรงกัน ประกอบกับนายกิตติพลได้พาไปดูรอยัลทาวเวอร์อพาร์ทเมนท์ซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยแจ้งวัฒนะ 28 ท้องที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรี อันเป็นที่พักของนายกนกศักดิ์และนายสุนันท์ แต่ขณะนั้นบุคคลทั้งสองไม่อยู่ ทราบจากนายกิตติพลว่าเดินทางไปบ้านที่อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร พันตำรวจโทปรีชากับพวกจึงวางแผนจับกุมนายกนกศักดิ์และนายสุนันท์ โดยให้พันตำรวจตรีทวีปโพธิ์แก้ว เดินทางไปอำเภอหลังสวนพันตำรวจโทสฤษณ์ชัย เอนกเวียงเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ เพราะทราบว่านายสุนันท์มีอาชีพเป็นเซลแมน ขายของอยู่ที่ตลาดวโรรสกับให้พันตำรวจโทคณิศร์ชัยเฝ้าดูอยู่ที่รอยัลทาวเวอร์อพาร์ทเมนท์ จากคำเบิกความของพันตำรวจตรีทวีปได้ความว่า ได้พร้อมกับพวกนำนายกิตติพลเดินทางไปอำเภอหลังสวนในคืนวันที่ 13 พฤษภาคม 2539 แล้วประสานงานกับพันตำรวจโทนพดล เพชรขาวเขียวสารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอหลังสวน และทราบว่านายกนกศักดิ์กับนายสุนันท์มาหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านของนางอมร ฮวดศิริ แม่ยายของนายกนกศักดิ์ และนายสุนันท์ รุ่งเช้าจึงเข้าตรวจค้นพบนายกนกศักดิ์พร้อมอาวุธปืนไม่มีทะเบียน 1 กระบอก และกระสุน 12 นัด รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าสีดำ หมายเลขทะเบียน 8 ร-1104 กรุงเทพมหานคร กับหมวกนิรภัยของนายสุนันท์จึงได้ยึดไว้ ปรากฏตามบันทึกการตรวจค้นเอกสารหมาย จ.20 ชั้นจับกุมนายกนกศักดิ์ให้การรับสารภาพปรากฏตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.19 และทราบจากนายกนกศักดิ์ว่านายสุนันท์กับภรรยาเดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร โดยรถไฟเมื่อตอนเย็นวันที่ 13 พฤษภาคม 2539 พันตำรวจตรีทวีป จึงรายงานให้พันตำรวจโทปรีชาทราบ จากนั้นก็นำนายกนกศักดิ์เดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร พันตำรวจโทปรีชาเบิกความว่า เมื่อได้รับแจ้งจากพันตำรวจตรีทวีปว่านายสุนันท์เดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร ได้ให้เจ้าพนักงานตำรวจไปดักรอที่สถานีรถไฟตอนรุ่งเช้าวันที่ 14 เดือนเดียวกัน แต่ไม่พบจึงแจ้งให้พันตำรวจโทคณิศร์ชัยทราบ พันตำรวจโทคณิศร์ชัยเบิกความว่ารุ่งเช้าวันที่ 14 พฤษภาคม 2539 หลังจากได้รับแจ้งจากพันตำรวจโทปรีชาแล้ว เวลาประมาณ 8 นาฬิกา เห็นรถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นมาจอดที่รอยัลทาวเวอร์อพาร์ทเมนท์ มีชายและหญิง 2 คนลงมาจากรถ นายสมเจตซึ่งให้ดักรออยู่ด้วย บอกว่าผู้ชายคือนายสุนันท์ พันตำรวจโทคณิศร์ชัยจึงควบคุมตัวบุคคลทั้งสองไปยังกองกำกับการสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพระนครเหนือระหว่างทางสอบถามนายสุนันท์ก็ยอมรับว่าได้ร่วมกับนายกนกศักดิ์นายนฤทุกข์และนายชัยชนะรับจ้างจากจำเลยทำการฆ่าผู้ตายจริงเมื่อไปถึงกองกำกับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือได้มอบผู้ต้องหาให้พันตำรวจเอกวิวัฒน์ วรรธนะวิบูลย์ และพันตำรวจโทปรีชาสอบปากคำนายสุนันท์ ซึ่งนายสุนันท์ก็ให้การรับสารภาพ จึงได้ทำบันทึกการจับกุมไว้ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.31 นอกจากนี้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนยังทราบจากนายกนกศักดิ์อีกว่า ก่อนผู้ตายถูกยิงตายประมาณ 7 ถึง 8 เดือน จำเลยเคยจ้างนายอิศวรหรือกิ่งเพชรรักษา กับนายกนกศักดิ์ให้ฆ่าผู้ตายมาก่อนแต่บุคคลทั้งสองกระทำการไม่สำเร็จ เพราะนายอิศวรถูกติดตามจับในคดีอื่นจึงหลบหนีไปจากคำเบิกความของพันตำรวจเอกภาณุพงษ์ สิงหรา ณ อยุธยา ได้ความว่าเมื่อทราบว่านายนฤทุกข์และนายชัยชนะเป็นคนร้ายรายนี้ด้วยพนักงานสอบสวนจึงออกหมายจับบุคคลทั้งสองในวันที่ 15 พฤษภาคม 2539และวันที่ 16 เดือนเดียวกัน ได้ออกเดินทางไปติดตามจับนายนฤทุกข์ที่บ้านที่อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ตามที่สืบทราบและจับตัวได้ในวันนั้น ในชั้นแรกนายนฤทุกข์ให้การปฏิเสธ แต่เมื่อนำตัวมาที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ นายนฤทุกข์ก็ให้การรับสารภาพ จึงได้ทำบันทึกการจับกุมไว้ ปรากฏตามบันทึกจับกุมเอกสารหมาย จ.58 นายนฤทุกข์บอกว่าได้ทราบจากผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันว่าจำเลยเป็นผู้ว่าจ้าง นายนฤทุกข์ไม่เคยพบจำเลยส่วนอาวุธปืนที่ใช้ในการกระทำผิดเป็นของนายชัยชนะเจ้าของรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้าที่ขับให้ความคุ้มกันในวันเกิดเหตุ ในขณะนั้นคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนสืบทราบว่านายชัยชนะมีบ้านอยู่ที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ จึงให้เจ้าพนักงานตำรวจเฝ้าดูทุกจุด ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2539 สามารถยึดรถยนต์ของนายชัยชนะมาได้และวันที่ 19 เดือนเดียวกันนายชัยชนะติดต่อขอมอบตัวพร้อมได้มอบอาวุธปืนพกยี่ห้อบาเร็ตตา 1 กระบอกที่ใช้ในการกระทำความผิดพร้อมแมกกาซีน 1 อัน กระสุน 6 นัด ให้ด้วยได้แจ้งข้อหาให้นายชัยชนะทราบว่าร่วมกับพวกฆ่านายแสงชัยสุนทรวัฒน์ โดยไตร่ตรองไว้ก่อน นายชัยชนะให้การรับสารภาพปรากฏตามบันทึกการมอบตัวเอกสารหมาย จ.73 สำหรับนายอิศวรนั้นจากคำเบิกความของพลตำรวจตรีปานศิริ ประภาวัตและบันทึกการซักถามเอกสารหมาย จ.14 ได้ความว่าเจ้าพนักงานตำรวจจังหวัดชุมพรจับนายอิศวรได้ในข้อหาฆ่าคนตายในคดีอื่น จากการซักถามเบื้องต้นนายอิศวรรับว่าเมื่อ 7 ถึง 8 เดือนก่อนหน้านั้นจำเลยเคยว่าจ้างให้ฆ่าผู้ตายเป็นเงิน 200,000 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.14จึงได้นำตัวมาสอบสวนในฐานะเป็นพยานในคดีนี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 15พฤษภาคม 2539 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.15 จากพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมดังได้กล่าวมาเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า การสืบสวนสอบสวนคดีนี้พนักงานสืบสวนสอบสวนได้ทำร่วมกันเป็นคณะมีจำนวนทั้งสิ้นถึง 40 คน ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.93 มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ร่วมด้วยหลายคน โดยมีพลตำรวจเอกพรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รองอธิบดีกรมตำรวจ ในขณะนั้นเป็นหัวหน้า และได้ทำการสอบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวนมากการสืบสวนสอบสวนได้ความสอดคล้องเกี่ยวเนื่องกันมาโดยตลอดจนเชื่อมโยงไปถึงคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย การทำงานร่วมกันโดยบุคคลหลายคน กับมีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก และตามทางสืบสวนสอบสวนก็ได้ความเป็นขั้นเป็นตอนเกี่ยวเนื่องติดต่อกันตามลำดับเช่นนี้เป็นการยากที่เจ้าพนักงานทั้งหมดหรือคนหนึ่งคนใดจะสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อปรักปรำจำเลย และก็ไม่เห็นมีเหตุผลใดที่จะทำเช่นนั้นด้วยคดีนี้เมื่อเจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวนจับผู้ต้องหาได้ ก็ได้ทำการสอบสวนทันที การสอบสวนในเวลากระชั้นชิดเช่นนี้เป็นการยากที่ผู้ต้องหาจะนึกคิดถึงรายละเอียดของเรื่องมาเบิกความปรักปรำผู้ใดได้ นายอิศวร นายกนกศักดิ์ นายสุนันท์ นายนฤทุกข์และนายชัยชนะต่างให้การต่อพนักงานสอบสวนสอดคล้องกันโดยได้ความจากคำให้การชั้นสอบสวนของนายอิศวรตามเอกสารหมาย จ.15 และคำเบิกความของนายอิศวรในชั้นพิจารณาว่า เมื่อปี 2536 นายโป่งเพื่อนบ้านของนายอิศวรพานายอิศวรไปฝากให้อยู่กับนายวิศิษฎ์พึ่งรัศมี ป่าไม้จังหวัดตาก นายอิศวรจึงรู้จักนายสุนันท์คู่เขยของนายกนกศักดิ์ซึ่งอาศัยอยู่กับนายวิศิษฎ์ก่อนแล้ว เมื่อมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในปี 2538 จำเลยได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย นายวิศิษฎ์ ได้พานายอิศวรไปเป็นมือปืนคุ้มกันจำเลยในการหาเสียงด้วยนายอิศวรจึงได้รู้จักกับจำเลย ครั้นการเลือกตั้งสิ้นสุดนายอิศวรก็กลับไปอยู่ที่บ้านที่จังหวัดชุมพร ต่อมาประมาณเดือนตุลาคม 2538 นายอิศวรเดินทางเข้ามาพักอยู่กับนายกนกศักดิ์ซึ่งเป็นเพื่อนกันที่รอยัลทาวเวอร์อพาร์ทเมนท์ที่ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ประมาณ10 วัน และยังไม่ได้ทำงานอะไร จึงโทรศัพท์ไปหาจำเลย จำเลยบอกว่ามีงานให้ทำและนัดให้ไปพบที่โรงแรมแปซิฟิคปาร์ค ถนนพระราม 9นายอิศวรได้ชวนนายกนกศักดิ์ไปด้วย พบจำเลยที่ร้านคอฟฟี่ช็อพชั้นล่างของโรงแรม จำเลยบอกว่าจะให้ฆ่าผู้ตายพร้อมกับมอบภาพถ่ายของผู้ตายให้และจะให้ค่าจ้าง 200,000 บาท จำเลยได้พาไปดูบ้านของผู้ตายที่หมู่บ้านเมืองทองธานีด้วย จากนั้นนายอิศวรกับนายกนกศักดิ์ก็ติดตามดักดูผู้ตายที่หมู่บ้านเมืองทองธานีหลายครั้ง แต่ไม่สบโอกาส จึงไม่สามารถฆ่าได้ ระหว่างนั้นจำเลยให้ค่าใช้จ่ายบางส่วนโดยโอนเงินมาจากธนาคารกรุงเทพ สาขาเชียงรายมาเข้าบัญชีของนายกนกศักดิ์ที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาหลักสี่พลาซ่า ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.90 ถึง จ.92 ซึ่งโจทก์มีนางอนงค์รัตน์ คำฮ้อย เสมียนของจำเลยมาเบิกความว่า จำเลยสั่งให้โอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีของนายกนกศักดิ์จริง ต่อมามีนายจิตรกรหรือแดง นพฤทธิ์ มาชวนนายอิศวรไปยิงนายเล็กที่อำเภอบางบัวทองถึงแก่ความตาย และได้ค่าจ้างมา 50,000 บาทกับนายอิศวรได้ร่วมกับนายจิตรกรจับพระภิกษุรูปหนึ่งไปฆ่าที่อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง พวกของนายอิศวรถูกตำรวจจับหมดนายอิศวรจึงหลบหนีไปอยู่ที่จังหวัดชุมพรและไม่ได้ร่วมกับนายกนกศักดิ์ยิงผู้ตายตามที่รับจ้าง ในชั้นพิจารณาของศาลโจทก์และโจทก์ร่วมมีนายอิศวรมาเบิกความเป็นพยาน มีสาระสำคัญสอดคล้องกับคำให้การในชั้นสอบสวน ที่จำเลยฎีกาว่าคำให้การของนายอิศวรไม่น่าเชื่อถือเนื่องจากแตกต่างไปจากคำให้การของนายกนกศักดิ์ในข้อหาที่ว่านายอิศวรให้การว่าก่อนไปพบจำเลยได้มาพักอยู่ที่บ้านนายกนกศักดิ์ประมาณ 10 วัน แต่นายกนกศักดิ์ให้การว่านายอิศวรมาชวนไปเลยนั้น ตามคำให้การของนายกนกศักดิ์นายกนกศักดิ์ให้การว่าเมื่อประมาณกลางปี 2538 นายอิศวรมาชวนนายกนกศักดิ์ไปพบจำเลยที่โรงแรมแปซิฟิคปาร์ค คำให้การของนายกนกศักดิ์ดังกล่าวเป็นเพียงนายกนกศักดิ์มิได้ให้การถึงว่าก่อนที่นายอิศวรจะชวนนายกนกศักดิ์ไปพบจำเลยนั้น นายอิศวรพักอยู่ที่ไหนมาก่อนเท่านั้น และนายอิศวรให้การว่าจำเลยได้มอบภาพสีและขาวดำของผู้ตายให้อย่างละ 1 รูป แต่นายกนกศักดิ์ว่าเป็นภาพถ่ายที่ตัดมาจากหนังสือพิมพ์ ซึ่งเห็นว่าคำให้การของนายอิศวรดังกล่าว นายอิศวรก็มิได้ให้การว่าภาพถ่ายที่จำเลยมอบให้นั้นเป็นภาพถ่ายหรือเป็นรูปที่ตัดมาจากหนังสือพิมพ์ ในส่วนที่เกี่ยวกับค่าจ้างนายอิศวรว่าจำเลยมอบภาพถ่ายให้แล้วก็บอกว่าจะให้ค่าจ้าง 200,000 บาท แต่นายกนกศักดิ์ว่าหลังจากไปดูบ้านผู้ตายแล้ว จำเลยจึงบอกว่าจะให้ค่าจ้าง 200,000 บาทคำให้การดังกล่าวหาได้แตกต่างกันอย่างใดไม่ เป็นเพียงเล่าถึงรายละเอียดคนละตอนเท่านั้น และที่จำเลยฎีกาอ้างว่า คำให้การของนายอิศวรกับนายกนกศักดิ์มีข้อแตกต่างกันอีกหลายข้อก็เช่นเดียวกันเมื่อพิจารณาดูแล้ว เห็นว่า บางข้อก็มิได้แตกต่างกัน และบางข้อที่แตกต่างกันก็เป็นเพียงพลความ หาทำให้คำให้การของนายอิศวรและนายกนกศักดิ์ขัดกันอย่างใดไม่ หลังจากที่นายอิศวรกับนายกนกศักดิ์กระทำการไม่สำเร็จ จากคำให้การของนายกนกศักดิ์ตามเอกสารหมาย จ.23 ได้ความต่อไปว่า ระหว่างที่ร่วมกับนายอิศวรติดตามดักยิงผู้ตายแต่ไม่สบโอกาสได้ยิงนั้น พอถึงเดือนพฤศจิกายน2538 นายกนกศักดิ์ได้รับอุบัติเหตุรถชนกันได้รับบาดเจ็บต้องรักษาตัวอยู่ประมาณ 2 เดือนเศษ ระหว่างนั้นนายสุนันท์มาบอกนายกนกศักดิ์ว่า จำเลยบอกนายวิศิษฎ์ให้บอกนายสุนันท์มาเตือนนายกนกศักดิ์ว่ารับงานแล้วให้ทำให้สำเร็จ มิฉะนั้นจะโดนเก็บ นายกนกศักดิ์จึงบอกจำเลยไปว่าได้รับอุบัติเหตุบาดเจ็บไม่สามารถทำงานได้ และบอกด้วยว่านายสุนันท์รับจะทำงานแทนซึ่งจำเลยก็ตกลงด้วย ต่อมาประมาณเดือนมีนาคม 2539 นายสุนันท์ได้ชวนนายสมเจตกับนายกิตติพลมาร่วมงาน โดยบอกว่าจะได้ค่าจ้างคนละ100,000 บาท เมื่อตกลงกันแล้วได้ร่วมกันวางแผนการทำงานที่ห้องพักของนายสุนันท์แล้วไปติดตามเฝ้าดูและดักยิงผู้ตายหลายครั้งแต่กระทำไม่สำเร็จ นายสมเจตกับนายกิตติพลก็แยกย้ายกลับไปและไม่ได้มาร่วมงานอีก คำให้การของนายกนกศักดิ์ดังกล่าวโจทก์และโจทก์ร่วมมีนายสมเจตกับนายกิตติพลมาเบิกความเป็นพยานได้ความทำนองเดียวกันว่านายสุนันท์เรียกให้มาพบที่ห้องพักของนายสุนันท์แล้วชวนให้ร่วมทำการฆ่าผู้ตาย โดยนายสุนันท์บอกนายสมเจตว่าจะให้ค่าจ้าง 150,000 บาท และบอกนายกิตติพลว่าจะให้ค่าจ้าง 30,000 บาทหลังจากนั้นได้ร่วมกันไปดูบ้านผู้ตายและวางแผนทำงาน แล้วไปดักยิงผู้ตายหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สบโอกาสจึงยังไม่ได้ยิง ระหว่างนั้นนายสมเจตขอเงินค่าจ้างล่วงหน้า 20,000 บาท แต่นายสุนันท์บอกว่าจะให้เมื่องานเสร็จ นายสมเจตไม่พอใจจึงแยกย้ายกันไปและในที่สุดนายสมเจตกับนายกิตติพลไม่ได้ร่วมกับนายสุนันท์และนายกนกศักดิ์ทำงานอีกเลย หลังจากนายสุนันท์ นายกนกศักดิ์ร่วมกับนายสมเจตและนายกิตติพลทำการฆ่าผู้ตายไม่สำเร็จและนายสมเจต กับนายกิตติพลแยกย้ายกันกลับไปแล้ว ได้ความจากคำให้การชั้นสอบสวนของนายกนกศักดิ์ตามเอกสารหมาย จ.23ของนายสุนันท์ตามเอกสารหมาย จ.35 ของนายชัยชนะตามเอกสารหมาย จ.76 และของนายนฤทุกข์ตามเอกสารหมาย จ.59 ว่าประมาณต้นเดือนเมษายน 2539 นายสุนันท์กับนายกนกศักดิ์เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่แล้วนัดนายชัยชนะและนายนฤทุกข์ให้ไปพบที่โรงแรมไอยรา เมื่อพบกันแล้วนายสุนันท์ชวนนายนฤทุกข์กับนายชัยชนะให้ร่วมฆ่าผู้ตายด้วย โดยบอกว่ามีค่าจ้าง 200,000 บาทและผู้จ้างจะเพิ่มให้อีก 200,000 บาท หากทำสำเร็จ ทั้งสี่คนตกลงทำงานร่วมกันแล้ววางแผนการทำงานที่ห้องพักในโรงแรมไอยราและนัดพบกันที่กรุงเทพมหานครในวันเกิดเหตุ ขั้นตอนดังกล่าวได้ความจากพนักงานสอบสวนว่าในชั้นสอบสวนนายสุนันท์ นายกนกศักดิ์นายนฤทุกข์ และนายชัยชนะได้ร่วมกันนำชี้สถานที่ที่ร่วมกันวางแผนและพนักงานสอบสวนได้ถ่ายรูปไว้ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.36 ภาพที่ 7หลังจากผู้ตายถูกยิงตายในวันเกิดเหตุแล้ว ได้ความจากคำให้การชั้นสอบสวนของนายสุนันท์ว่าวันรุ่งขึ้นนายสุนันท์ติดต่อจำเลยทางโทรศัพท์ติดตามตัว เมื่อจำเลยโทรศัพท์กลับมาหาได้สอบถามจำเลยว่าเมื่อคืนถูกตัวหรือเปล่า จำเลยตอบว่าถูกแล้วและนัดให้ไปรับเงินที่ปลายซอยรามคำแหง 52/2 ซึ่งตามบันทึกการใช้โทรศัพท์เอกสารหมาย จ.132 ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2539 อันเป็นวันรุ่งขึ้นของคืนเกิดเหตุเวลา 8 นาฬิกา 26 นาที นายสุนันท์โทรศัพท์เรียกจำเลย ต่อมาเวลา 9 นาฬิกา 44 นาที จำเลยโทรศัพท์เข้าโทรศัพท์มือถือของนายสุนันท์ จากคำให้การของนายสุนันท์ได้ความต่อไปว่าวันนั้นจำเลยขับรถวอลโว่สีเทาไปพบตามนัดเมื่อพบกันแล้วนายสุนันท์ขึ้นไปบนรถจำเลยบอกว่าเอาค่าใช้จ่ายไปก่อน 40,000 บาท และบอกว่าส่วนที่เหลือให้ไปรับเอาที่จังหวัดเชียงใหม่วันที่ 15 เมษายน 2539 หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปแล้วนายสุนันท์ไปซื้อตั๋วโดยสารเครื่องบินไปจังหวัดเชียงใหม่ 4 ใบสำหรับนายสุนันท์และนางสุวิมล ฮวดศิริ ภรรยาของนายสุนันท์นายกนกศักดิ์และนางโสวดี ฮวดศิริ ภรรยาของนายกนกศักดิ์โดยวันที่ 13 เมษายน 2539 นายสุนันท์กับนางสุวิมลเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ก่อนและไปพักที่โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ รุ่งขึ้นวันที่ 14 เดือนเดียวกัน นายกนกศักดิ์กับนางโสวดีก็เดินทางไปสมทบในชั้นพิจารณาโจทก์และโจทก์ร่วมนำนายสุนันท์ นายกนกศักดิ์นางสุวิมลและนางโสวดีมาเป็นพยานเบิกความรับว่าหลังจากผู้ตายถูกคนร้ายยิงตายแล้ว นายสุนันท์ นางสุวิมล นายกนกศักดิ์และนางโสวดีได้เดินทางไปพักที่จังหวัดเชียงใหม่ในช่วงเวลาที่กล่าวแล้วจริง จากคำเบิกความของนางสุวิมลและนางโสวดีได้ความว่าในกา