คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2611/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา แม้มิได้ อุทธรณ์ฎีกา แต่คดีเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อัน ไม่อาจ แบ่งแยกได้ เมื่อจำเลยที่1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ก็ให้ คำพิพากษามีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245(1) ประกอบด้วยมาตรา 247 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันตามลำดับในค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 69,030 บาท พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ให้การว่า สัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาที่แท้จริงคือการกู้ยืมเงิน หากฟังว่าเป็นการเช่าซื้อจริง โจทก์ก็ไม่ได้รับความเสียหายเพราะรถยนต์ที่เช่าซื้อเมื่อจำเลยที่ 1 คืนให้โจทก์ไปแล้ว โจทก์ขายได้เงินสูงกว่าราคาเช่าซื้อที่ค้าง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาข้อ 7 เป็นเงิน 19,200 บาท พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาเช่าซื้อรถยนต์มีข้อความว่า เงินค่างวดที่ค้างชำระ ถึงแม้เจ้าของจะกลับเข้าครอบครองรถแล้ว หากเจ้าของจำหน่ายรถได้เงินไม่ครบถ้วนตามราคาที่ค้างชำระในสัญญาเท่าใด เจ้าของมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้ผู้เช่าซื้อชดใช้จนครบจำนวนที่ขาดได้ด้วย ดังนี้ หมายถึงไม่ครบถ้วนตามราคาที่ค้างชำระ จึงต้องเอาค่าเช่าซื้อที่ชำระแล้วไปหักค่าเช่าซื้อทั้งหมด เหลือเท่าใดเป็นค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระหากขายรถพิพาทได้ราคาต่ำกว่าค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ส่วนที่ขาดให้โจทก์จนครบ หากขายได้ราคาไม่ต่ำกว่าก็ไม่ต้องรับผิด เมื่อปรากฏว่าโจทก์ขายรถพิพาทได้เงินสูงกว่าค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์อีก แม้จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจะขาดนัดและมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ด้วย เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบด้วยมาตรา 247

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ด้วย

Share