คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2338/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บริษัท อ. ทำสัญญากับโจทก์รวม 3 ฉบับโดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกันสัญญาทั้ง 3 ฉบับระหว่างโจทก์และบริษัท อ. มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการผลประโยชน์ตอบแทนซึ่งกันและกัน โดยบริษัท อ.ต้องการเก็บกำไรจากการซื้อหุ้นแต่บริษัทอ. ไม่มีเงินจึงขอเบิกเงินจากโจทก์ทำนองเบิกเงินเกินบัญชี เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นแต่ถ้าโจทก์จ่ายเงินให้บริษัท อ. ไปซื้อหุ้นด้วยตนเองแล้วโจทก์จะไม่มีหลักประกัน โจทก์จึงทำหน้าที่ซื้อหุ้นตามคำสั่งของบริษัท อ. เพื่อยึดใบหุ้นเป็นหลักประกันและตีราคามูลค่าหุ้นที่ยึดไว้เป็นหลักประกันเพียงร้อยละ75 ส่วนอีกร้อยละ 25 บริษัท อ. ต้องเอาเงินมาฝากเข้าบัญชีกับโจทก์ และถ้าหุ้นมีมูลค่าลดลงต่ำกว่าร้อยละ 75 บริษัท อ. ต้องเพิ่มเงินฝากเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 25 เพื่อให้โจทก์มีหลักประกันเต็มจำนวนร้อย ผลประโยชน์ที่โจทก์ได้รับตามสัญญาคือได้ดอกเบี้ยและค่าชักส่วนลด จากยอดเงินที่บริษัท อ.เป็นหนี้โจทก์ส่วนบริษัทอ. มีเงินเพียงร้อยละ 25 ก็สามารถซื้อหุ้นมีมูลค่าเต็มจำนวนร้อยเพื่อหวังเก็บกำไรได้ การที่โจทก์ซื้อหุ้นแทนบริษัท อ. นั้น. เป็นเพียงข้อตกลงส่วนหนึ่งของสัญญาระหว่างโจทก์กับบริษัท อ. เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์เท่านั้นไม่อาจแยกออกเป็นเอกเทศได้ การที่โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ที่บริษัท อ. เป็นหนี้ตามสัญญาดังกล่าว จึงไม่เข้าลักษณะเอกเทศสัญญาในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่เป็นสัญญาต่างตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 ซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปีตามมาตรา 164 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2524)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2502 ธนาคารโจทก์ตกลงเปิดสินเชื่อโดยวิธีเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 250,000 เหรียญอเมริกันให้แก่บริษัท แอม – ยูเรเซีย อินเวสต์เมนท์ ฟันด์ ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศไลบีเรีย และมีสาขาในประเทศไทย จำเลยที่ 1เป็นผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัท ได้ลงนามทำสัญญาตามเงื่อนไขต่าง ๆปรากฏตามท้ายฟ้องหมาย 3, 4, 5 จำเลยที่ 1 ทำหนังสือค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวไว้กับธนาคารโจทก์ โดยยอมรับใช้แทนในฐานะลูกหนี้ร่วม และยอมให้ธนาคารโจทก์ผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ได้เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2505 จำเลยที่ 2 ทำหนังสือค้ำประกันบริษัทแอม – ยูเรเซียฯ และจำเลยที่ 1 สำหรับหนี้สินดังกล่าวต่อโจทก์ภายในวงเงิน 50,000 เหรียญอเมริกัน โดยยอมผูกพันตนเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 โจทก์และบริษัทแอม – ยูเรเซียฯ ได้ปฏิบัติต่อกันตามสัญญาตลอดมาจนถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2506 ปรากฏว่าบริษัทแอม – ยูเรเซียฯยังเป็นหนี้ธนาคารโจทก์ 26,003 เหรียญอเมริกัน โจทก์ทวงถาม บริษัทแอม – ยูเรเซียฯ โดยจำเลยที่ 1 ได้นำเงินเข้าบัญชีชำระหนี้ธนาคารโจทก์เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2506 จำนวน 5,000 เหรียญอเมริกัน วันที่ 6กันยายน 2506 ชำระอีก 5,000 เหรียญอเมริกัน หลังจากนั้นไม่ชำระเลยคงค้างต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องรวม 28,234 เหรียญอเมริกันอัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญอเมริกันต่อ 21 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 592,914บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันใช้เงินจำนวน 592,914บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 6 ต่อปี ตามวิธีคิดดอกเบี้ยทบต้นของธนาคารและหักค่าส่วนลด เศษ 1 ส่วน 8 ทุก 3 เดือน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ได้ลงนามในเอกสารท้ายฟ้องหมาย 3, 4, 5 จริงจำเลยมิได้ประกันหนี้ดังฟ้อง บริษัทแอม – ยูเรเซียฯ ไม่ได้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารโจทก์ โจทก์กระทำผิดหน้าที่ตามสัญญา หากบริษัทแอม -ยูเรเซียฯ จะต้องรับผิด ก็รับผิดในฐานะตัวการตัวแทน โจทก์ฟ้องเกิน2 ปี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เมื่อหนี้อันเป็นประธานขาดอายุความฟ้องร้อง จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันก็ไม่ต้องรับผิด การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องต่อศาลโดยเป็นการขัดต่อข้อตกลงตามเอกสารท้ายฟ้องหมาย 5ซึ่งบังคับให้ฟ้องที่ศาลประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์นำคดีมาฟ้องต่อศาลโดยเป็นการขัดต่อข้อตกลงในเอกสารท้ายฟ้องหมาย 5 จำเลยค้ำประกันเฉพาะนายวิลลิส เอช. เบิร์ดและหรือบริษัทอเมอเรเซียอินเวสต์เมนท์ ทรัส จำกัด ไม่ได้ค้ำประกันนายวิลลิส เอช. เบิร์ดและหรือบริษัทแอม – ยูเรเซียฯ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ได้ 1 ปาก แล้วสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยวินิจฉัยว่า โจทก์นำคดีมาฟ้องต่อศาลไทยขัดต่อข้อตกลงตามเอกสารหมาย 5 ข้อ 7 พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่และวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมบริษัทแอม – ยูเรเซียฯ เป็นลูกหนี้โจทก์โดยเบิกเงินเกินบัญชี จำนวน14,018.55 เหรียญอเมริกัน จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวด้วยจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะเป็นเรื่องบัญชีเดินสะพัด ไม่ใช่เรื่องตัวการตัวแทน พิพากษาให้จำเลยที่ 1ชำระเงินจำนวน 14,018.55 เหรียญอเมริกัน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ6 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2506 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 1 จะชำระเป็นเงินไทยให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ สถานที่และเวลาที่ชำระ

โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิด

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ตามเอกสารหมาย จ.3, จ.4 และจ.5 (ตรงกับเอกสารท้ายฟ้องหมาย 3, 4, 5 ตามลำดับ) ซึ่งจำเลยที่ 1ได้ลงชื่อไว้เป็นสำคัญ นั้น เอกสารหมาย จ.3 ข้อ 1 ระบุว่า โจทก์ให้บริษัทแอม – ยูเรเซียฯ เบิกเงินเกินบัญชีได้เพื่อเป็นทุนซื้อหุ้นชั้นหนึ่งของอเมริกา ซึ่งมีการขานราคาไว้ในตลาดหุ้นแห่งนิวยอร์ค ข้อ 2 ระบุว่า ในการเบิกเงินเกินบัญชีรายนี้จะต้องมีการค้ำประกันโดยใช้หลักทรัพย์ทั้งหลายซึ่งโจทก์ซื้อไว้เพื่อบัญชีของบริษัทแอม – ยูเรเซียฯ บริษัทแอม – ยูเรเซียฯ จะต้องมีเงินอยู่ในบัญชีเสมอไปเป็นจำนวน (ร้อยละ 25) ซึ่งสัมพันธ์กับร้อยละ 75 ของมูลค่าแห่งหลักทรัพย์ที่ได้นำฝากไว้กับโจทก์ในนามของบริษัทหากมูลค่าดังกล่าวเกิดลดลง บริษัทจะต้องส่งเงินให้โจทก์ทันทีที่โจทก์เรียกร้อง เป็นจำนวนเท่าที่จำเป็นจะทำให้โจทก์มีจำนวนเผื่อเหลือเผื่อขาดอยู่ร้อยละ 25 เสมอไป ข้อ 3 ระบุว่าเรื่องดอกเบี้ยร้อยละ 5 ครึ่งต่อปี (ต่อมาเปลี่ยนเป็นร้อยละ 6) และค่าชักส่วนลดร้อยละ เศษ 1 ส่วน 8 ของยอดลูกหนี้จำนวนสูงสุดทุก ๆ 3 เดือน เอกสารหมาย จ.4 ว่าด้วยเรื่องหลักประกันและการโอนสิทธิ เอกสารหมาย จ.5 ข้อ 1, 2, 5 และ 9 ระบุว่า โจทก์จะทำการปิดบัญชีทุก ๆ ระยะ 3 เดือน 6 เดือน หรือเมื่อครบรอบปี โดยจะทำการคิดดอกเบี้ยให้ตามที่ตกลงกันเอาไว้ หากจะมีกรณีคัดค้านหรือแสดงความไม่เห็นชอบกับงบดุลหรือรายการเงินฝากแต่ละยอดบัญชี เจ้าของบัญชีจะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบภายในเวลาไม่เกิน 4 สัปดาห์ โจทก์ทรงไว้ซึ่งสิทธิทุกเวลาหรือตามแต่จะเห็นสมควรในอันที่จะเห็นสมควรในอันที่จะบอกเลิกการติดต่อทางธุรกิจกับลูกค้า หรือปฏิเสธการให้สินเชื่อและเรียกร้องให้ใช้เงินคืนกับโจทก์ทันที โจทก์ทรงไว้ซึ่งอำนาจในการที่จะหักบัญชีและเรียกเก็บเงินต้นและดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามที่จะเห็นสมควร ฯลฯ

ปัญหามีว่า สัญญาระหว่างโจทก์และบริษัทแอม – ยูเรเซียฯตามเอกสารหมาย จ.3, จ.4 และ จ.5 เป็นสัญญาตัวการตัวแทนโดยโจทก์เป็นตัวแทนทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลกิจการของบริษัทแอม – ยูเรเซียฯ ในการซื้อขายหุ้นดังจำเลยที่ 1 ฎีกาหรือไม่

ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า วัตถุประสงค์ในการที่โจทก์และบริษัทแอม – ยูเรเซียฯ ทำสัญญาเอกสารหมาย จ.3, จ.4,จ.5 ก็โดยทั้งสองฝ่ายต้องการผลประโยชน์ตอบแทนซึ่งกันและกันกล่าวคือ บริษัทต้องการเก็งกำไรจากการซื้อหุ้นชั้นหนึ่งของอเมริกาซึ่งมีการขานราคาไว้ในตลาดค้าหุ้นแห่งนิวยอร์ค แต่บริษัทไม่มีเงินจึงขอเบิกเงินจากโจทก์ทำนองเบิกเงินเกินบัญชีในสัญญาบัญชีเดินสะพัดเพื่อนำเงินไปซื้อหุ้น แต่ถ้าโจทก์จ่ายเงินให้บริษัทไปซื้อหุ้นด้วยตนเองแล้ว โจทก์จะไม่มีหลักประกัน โจทก์จึงทำหน้าที่ซื้อหุ้นเสียเองตามคำสั่งของบริษัท เพื่อจะยึดใบหุ้นนั้นเป็นหลักประกัน เมื่อซื้อหุ้นแล้ว หุ้นมีมูลค่าสูงขึ้น โจทก์ก็ไม่เสียหายแต่ถ้าหุ้นมีมูลค่าลดลงโจทก์ย่อมเสียหาย โจทก์จึงตีราคามูลค่าของหุ้นไว้เพียงร้อยละ 75 ส่วนอีกร้อยละ 25 บริษัทต้องเอาเงินมาฝากในบัญชีกับโจทก์เป็นการเผื่อเหลือเผื่อขาดให้โจทก์มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเต็มจำนวนร้อย ผลประโยชน์ที่บริษัทได้รับก็คือมีเงินเพียงร้อยละ 25 ของมูลค่าหุ้นที่จะซื้อ ก็สามารถที่จะซื้อหุ้นมีมูลค่าเต็มจำนวนร้อยเพื่อหวังเก็งกำไรได้ ส่วนโจทก์ได้รับผลประโยชน์ คือ ได้ดอกเบี้ยร้อยละ 5 ครึ่งต่อปี (ต่อมาเปลี่ยนเป็นร้อยละ 6) และค่าชักส่วนลดร้อยละ เศษ 1 ส่วน 8จากยอดเงินที่บริษัทเป็นหนี้ แม้การที่โจทก์ซื้อหุ้นแทนบริษัทจะมีลักษณะเป็นตัวการตัวแทน แต่ก็เป็นเพียงข้อตกลงส่วนหนึ่งของสัญญาตามเอกสารหมาย จ.3 จ.4 และ จ.5 ระหว่างโจทก์และบริษัท เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์เท่านั้น ไม่อาจแบ่งแยกออกเป็นเอกเทศได้ ดังนั้นการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์เป็นตัวแทนทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลกิจการของบริษัทแอม – ยูเรเซียฯในการซื้อขายหุ้นดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาโต้แย้ง และไม่เข้าลักษณะเอกเทศสัญญาในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่เป็นสัญญาต่างตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 369 ซึ่งมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ศาลฎีกาเห็นด้วยในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ว่า คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ

พิพากษายืน

Share