คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1722/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1(ผู้ใหญ่บ้าน) ได้รับแจ้งจากจำเลยที่ 2 ว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นคนร้ายลักไก่งวง แล้วจำเลยที่ 1 เรียกโจทก์ทั้งสี่มาเพื่อพูดจาตกลงกันถึงเรื่องความเสียหายฟังไม่ได้ว่าเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ และการที่จำเลยที่ 1 เพียงแต่ไกล่เกลี่ยให้โจทก์ทั้งสี่กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ตกลงกันเรื่องค่าเสียหายเพื่อให้คดีเลิกแล้วกันนั้น ไม่ใช่เรื่องจำเลยที่ 1 มีเจตนาทุจริตเพื่อขู่เอาเงินจากโจทก์ทั้งสี่ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่173/2510)
การที่จำเลยที่ 1 เรียกโจทก์ทั้งสี่มาโดยกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสี่ลักไก่งวงเมื่อได้ไกล่เกลี่ยตกลงค่าเสียหายกันแล้วจำเลยที่ 1 มิได้จัดการส่งโจทก์ทั้งสี่ไปดำเนินคดีเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่จำเลยที่1 มิได้มีเจตนาทุจริต และมิใช่เพื่อเรียกเอาเงินจากโจทก์ทั้งสี่และเป็นผลให้โจทก์ทั้งสี่ไม่ต้องถูกส่งตัวไปดำเนินคดี จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ (จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใหญ่บ้าน) ร่วมกันกระทำผิด คือ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันกล่าวหาต่อจำเลยที่ 1 ว่าโจทก์ทั้งสี่ลักไก่งวงของจำเลยที่ 2 ไป จำเลยที่ 1 จับโจทก์ทั้งสี่ไปควบคุมไว้แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ขู่เข็ญให้โจทก์ทั้งสี่ให้เงินจำเลยที่ 1 ที่ 24,500 บาท มิฉะนั้นจะส่งโจทก์ทั้งสี่ต่อพนักงานสอบสวน โจทก์ทั้งสี่ยอมจ่ายเงินให้ และจำเลยทั้งสี่นำความอันเป็นเท็จแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ทั้งสี่ลักไก่งวง และจำเลยที่ 2 นำจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ไปให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวนว่ารู้เห็นโจทก์ทั้งสี่ลักไก่งวงขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 172, 173, 174,179, 157, 83, 86, 90

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้อง

จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 174 วรรค 2 ข้อหาอื่นให้ยก

โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 1 ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 อันเป็นบทเฉพาะ ไม่ผิดมาตรา 157 อันเป็นบททั่วไปจำเลยที่ 2 ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 86 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งได้ความดังกล่าวจะเป็นความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้รับแจ้งความจากจำเลยที่ 2 ที่ 3ว่ามีคนร้ายลักไก่งวงของจำเลยที่ 3 เมื่อคืนวันที่ 17 กรกฎาคม 2521จำเลยที่ 1 ทำบันทึกไว้ แต่ตามคำแจ้งความและบันทึกรับแจ้งความไม่ได้ความว่าคนร้ายเป็นใคร จำเลยที่ 2 อ้างว่าต่อมาวันที่ 19กรกฎาคม 2521 จำเลยที่ 2 สอบถามได้ความจากโจทก์ที่ 4 และนายธรรมบิดาโจทก์ที่ 4 ว่า โจทก์ทั้งสี่ร่วมกันลักไก่งวงของจำเลยที่ 3แต่จำเลยที่ 2 ก็มิได้มีพยานมาสืบให้ฟังได้เช่นนั้น ในสำนวนการสอบสวนเรื่องลักทรัพย์รับของโจร โจทก์ที่ 4 ก็ให้การปฏิเสธ และนายธรรมก็ไม่ได้ให้การว่าได้บอกให้จำเลยที่ 2 ทราบว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นคนร้ายลักไก่งวงจึงเชื่อว่าจำเลยที่ 2 กล่าวอ้างขึ้นเองว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นคนร้ายลักไก่งวงโดยไม่ปรากฏหลักฐานส่วนจำเลยที่ 1 จะได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ในการกล่าวอ้างเช่นนั้นหรือไม่ โจทก์ไม่มีพยานนำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1ร่วมสมคบกับจำเลยที่ 2 ด้วย คงได้ความจากจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2ได้เล่าเรื่องที่โจทก์ทั้งสี่เป็นคนร้ายลักไก่งวงให้จำเลยที่ 1 ฟัง ข้อเท็จจริงเท่าที่ได้ความดังกล่าวจึงยังไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 1 รู้หรือร่วมกับจำเลยที่ 2แกล้งกล่าวหาว่าโจทก์เป็นคนร้ายลักไก่งวงโดยปราศจากหลักฐาน ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 ได้รับแจ้งจากจำเลยที่ 2 ว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นคนร้ายลักไก่งวง แล้วจำเลยที่ 1 เรียกโจทก์ทั้งสี่มาเพื่อพูดตกลงกันถึงเรื่องความเสียหาย จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบและการที่จำเลยที่ 1 เพียงแต่ไกล่เกลี่ยให้โจทก์ทั้งสี่กับจำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 4 ตกลงกันในเรื่องค่าเสียหายเพื่อให้คดีเลิกแล้วกันนั้น ไม่ใช่เรื่องจำเลยที่ 1 มีเจตนาทุจริตเพื่อขู่เอาเงินจากโจทก์ทั้งสี่ จำเลยที่ 1จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 173/2510 คดีระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี โจทก์ นายศิริ หงษ์เวียงจันทร์ กับพวกจำเลย การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149หรือไม่ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องและอ้างบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ด้วย จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษตามมาตรานี้ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ ส่วนจำเลยที่ 1 จะผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งโจทก์อ้างเป็นบทลงโทษด้วยหรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 เรียกโจทก์ทั้งสี่มาโดยกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสี่ลักไก่งวง เมื่อได้ไกล่เกลี่ยตกลงค่าเสียหายกันแล้ว จำเลยที่ 1 มิได้จัดการส่งโจทก์ทั้งสี่ไปดำเนินคดี เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่ก็ฟังได้ดังกล่าวแล้วว่าจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาทุจริต และการละเว้นในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแล้วนั้นก็มิใช่เพื่อเรียกเอาเงินจากโจทก์ทั้งสี่และก็เป็นผลให้โจทก์ทั้งสี่ไม่ต้องถูกส่งตัวไปดำเนินคดี จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ แต่จะเกิดความเสียหายอย่างใดแก่ผู้ใดหรือไม่โจทก์ไม่ได้กล่าวให้ปรากฏในฟ้องและแม้จะเสียหายแก่ผู้อื่น โจทก์ทั้งสี่ก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 157 แล้ว จำเลยที่ 2 ก็ไม่ผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148,157 ประกอบด้วยมาตรา 86 ด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฟังขึ้น

พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 157, 86 ด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share