แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์จำเลยแถลงว่า ต่างไม่สืบพยานบุคคล ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดีต่อไปโดยอาศัยเอกสารที่ส่งไว้ต่อศาลแต่เมื่อโจทก์แถลงต่อไปว่าจะขอให้ศาลหมายเรียกเอกสารอื่นมาประกอบการพิจารณาของศาลอีกและจำเลยก็แถลงว่ายังติดใจส่งเอกสารจำนวนหนึ่งต่อศาลอีกเช่นเดียวกัน ดังนี้แสดงว่าคู่ความประสงค์ให้ศาลนำเอกสารที่คู่ความขอให้เรียกมาหรือส่งไว้ในสำนวนมาประกอบการพิจารณาด้วยหาใช่เพียงแต่พิจารณาจากเอกสารที่ส่งไว้แต่เดิมไม่
ภายหลังจากที่โรงงานกระสอบป่าน กรมโรงงานอุตสาหกรรมจำเลยที่ 1 ประกาศใช้ระเบียบว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพนักงานและคนงานประจำฉบับที่ 1 พ.ศ. 2521 แล้ว ประธานกรรมการอำนวยการจำเลยที่ 1 ได้ออกคำชี้แจงแก่พนักงานและคนงานว่าระเบียบดังกล่าวใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2521 เป็นต้นไปพนักงานและคนงานประจำที่ได้บรรจุเข้าทำงานอยู่แล้วก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2521. ต้องมีสิทธิในเรื่องเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานและเงินบำเหน็จตามระเบียบเดิมต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ออกระเบียบว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพนักงานและคนงานประจำ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2521 ให้พนักงานและคนงานประจำที่ได้บรรจุเข้าทำงานอยู่แล้วก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2521 คงมีสิทธิในเรื่องเงินชดเชยและเงินบำเหน็จตามระเบียบเดิมอีก ดังนี้ย่อมฟังได้ว่าก่อนที่จะมีระเบียบโรงงานกระสอบป่านกรมโรงงานอุตสาหกรรม ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพนักงานและคนงานประจำฉบับที่ 1 พ.ศ. 2521 นั้น ได้มีระเบียบเดิมให้พนักงานและคนงานประจำได้รับเงินบำเหน็จอยู่แล้ว โจทก์เข้าทำงานเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2517 การรับเงินบำเหน็จของโจทก์จึงต้องเป็นไปตามระเบียบเดิม เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้รับเงินบำเหน็จจากจำเลย มีจำนวนเท่ากับเงินบำเหน็จตามระเบียบเดิมที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับจึงไม่มีมูลหนี้ที่โจทก์จะเรียกร้องเงินตามระเบียบเดิมอีก ไม่ต้องวินิจฉัยว่าระเบียบเดิมนั้นคือระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง พ.ศ.2519 หรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ อยู่ในความควบคุมดูแลของจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๑ และคณะกรรมการอำนวยการของจำเลยที่ ๑ ได้มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด โจทก์ทำงานมา ๓ ปี ๓ เดือน มีสิทธิได้รับบำเหน็จตามพระราชบัญญัติจ่ายเงินบำเหน็จของพนักงานและลูกจ้างของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๑๙ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ ซึ่งจำเลยที่ ๑ใช้ระเบียบนี้อยู่เมื่อคำนวณแล้วโจทก์มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ ๒๘,๒๓๐ บาท และโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานเป็นเงิน ๕๖,๔๖๐ บาท จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยจำนวน ๕๖,๔๖๐ บาท ให้โจทก์แล้ว แต่ไม่ยอมจ่ายเงินบำเหน็จจำนวน ๒๘,๒๓๐ บาทให้อ้างว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวตามระเบียบโรงงานกระสอบป่านว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพนักงานและคนงานประจำฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๒๑ โจทก์เห็นว่าระเบียบดังกล่าวขัดต่อกฎหมายแรงงานและพระราชบัญญัติจ่ายเงินบำเหน็จของพนักงานและลูกจ้างของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๑๙ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตกเป็นโมฆะ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จจำนวน ๒๘,๒๓๐ บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๒๘,๒๓๐ บาท เวลา ๑ ปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๐,๓๔๗ บาท กับให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๒๘,๒๓๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ยื่นคำให้การ แต่ภายหลังชี้สองสถานแล้วโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ ๑ ออกเสียจากสารบบความ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นรัฐวิสาหกิจบริหารงานภายใต้การอำนวยการของคณะกรรมการโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังโจทก์มีฐานะเป็นลูกจ้างประจำของจำเลยที่ ๑ ไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลยที่ ๒ คำสั่งเลิกจ้างโจทก์เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วยจำเลยที่ ๑ ได้วางระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จไว้ตามระเบียบว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพนักงานและคนงานประจำฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๒๑ ลงวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ ซึ่งข้อ ๑๔ กำหนดว่า การจ่ายเงินบำเหน็จตามข้อบังคับนี้ ให้ถือเป็นการจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายเกี่ยวกับแรงงานและในกรณีเงินบำเหน็จที่จ่ายตามข้อบังคับนี้มีจำนวนน้อยกว่าเงินชดเชยตามกฎหมายเกี่ยวกับแรงงาน ให้โรงงานจ่ายเพิ่มให้ครบเท่ากับเงินชดเชยตามกฎหมายเกี่ยวกับแรงงาน เมื่อโจทก์ออกจากงาน จำเลยที่ ๑ ได้จ่ายเงินบำเหน็จให้โจทก์ ๒๘,๒๓๐ บาทแล้ว โดยถือเป็นค่าชดเชยตามกฎหมายเกี่ยวกับแรงงานด้วยและยังจ่ายเพิ่มให้อีก ๒๘,๒๓๐ บาท เพื่อให้เท่ากับค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน โจทก์จึงได้รับเงินบำเหน็จและค่าชดเชยไปรวม๕๖,๔๖๐ บาท เป็นการถูกต้องแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามพระราชบัญญัติจ่ายเงินบำเหน็จของพนักงานและลูกจ้างของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๑๙ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ เพราะระเบียบดังกล่าวใช้บังคับเฉพาะพนักงานและลูกจ้างของกระทรวง ทบวง กรมในรัฐบาลและได้รับเงินจากงบประมาณแผ่นดินเท่านั้น โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจและเงินที่ได้รับก็มิใช่เงินงบประมาณแผ่นดิน ระเบียบโรงงานกระสอบป่านว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพนักงานและคนงานประจำ ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๒๑ ไม่ขัดต่อกฎหมายและระเบียบที่โจทก์อ้าง ขอให้ยกฟ้อง
ชั้นพิจารณาโจทก์และจำเลยที่ ๒ แถลงไม่สืบพยานบุคคลขอให้ศาลวินิจฉัยคดีไปโดยอาศัยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๑๙ กับระเบียบโรงงานกระสอบป่าน กรมโรงงานอุตสาหกรรมว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพนักงานและคนงานประจำ พ.ศ. ๒๕๒๑ ฉบับที่ ๑และฉบับที่ ๒ กับบทกฎหมายที่มีอยู่ โจทก์แถลงต่อไปว่ามีตัวอย่างทางปฏิบัติที่จำเลยจ่ายเงินไป โจทก์จะขอให้ศาลเรียกมาประกอบการพิจารณาก่อนศาลพิพากษา และจำเลยที่ ๒ แถลงว่า จำเลยที่ ๒ ยังติดใจส่งเอกสารจำนวนหนึ่งอีกด้วยก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาโจทก์ได้ขอให้ศาลหมายเรียกเอกสารมาและจำเลยที่ ๒ ก็ส่งเอกสารต่อศาลอีกหลายฉบับ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินบำเหน็จพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัด พิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินบำเหน็จจำนวน ๒๘,๒๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์กับจำเลยที่ ๒ แถลงไม่สืบพยานบุคคลขอให้ศาลวินิจฉัยคดีต่อไปโดยอาศัยระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๑๙ กับระเบียบโรงงานกระสอบป่านกรมโรงงานอุตสาหกรรม ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพนักงานและคนงานประจำ พ.ศ. ๒๕๒๑ ฉบับที่ ๑ และฉบับที่ ๒ ก็ตาม แต่โจทก์ก็แถลงต่อไปอีกว่าจะขอให้ศาลหมายเรียกเอกสารอื่นมาประกอบการพิจารณาของศาลอีกและจำเลยที่ ๒ ก็แถลงว่ายังติดใจส่งเอกสารจำนวนหนึ่งต่อศาลเช่นเดียวกัน ดังนี้ แสดงว่าคู่ความประสงค์ให้ศาลนำเอกสารที่คู่ความขอให้เรียกมาหรือส่งไว้ในสำนวนมาประกอบพิจารณาด้วย หาใช่เพียงแต่พิจารณาจากระเบียบทั้งสามฉบับเท่านั้นไม่
ในส่วนที่เกี่ยวกับเงินบำเหน็จได้ความตามเอกสารที่โรงงานกระสอบป่านกรมโรงงานอุตสาหกรรม และจำเลยที่ ๒ สั่งไว้ว่า เมื่อโรงงานกระสอบป่านกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ประกาศใช้ระเบียบว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพนักงานและคนงานประจำฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๒๑ เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ แล้ว ต่อมาวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๒๑ ประธานกรรมการอำนวยการโรงงานกระสอบป่าน กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ออกคำชี้แจงแก่พนักงานและคนงานความว่า ระเบียบว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพนักงานและคนงานประจำฉบับที่ ๑พ.ศ. ๒๕๒๑ ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ เป็นต้นไป พนักงานและคนงานประจำที่ได้บรรจุเข้าทำงานอยู่แล้วก่อนวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ ยังคงมีสิทธิในเรื่องเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานและเงินบำเหน็จตามระเบียบเดิม ครั้นวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๒๑ โรงงานกระสอบป่าน กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ออกระเบียบว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพนักงานและคนงานประจำ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๒๑ ให้พนักงานและคนงานประจำที่ได้บรรจุเข้าทำงานอยู่แล้วก่อนวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ คงมีสิทธิในเรื่องเงินชดเชยและเงินบำเหน็จตามระเบียบเดิม ดังนี้ ย่อมฟังได้ว่าก่อนที่จะมีระเบียบโรงงานกระสอบป่าน กรมโรงงานอุตสาหกรรมว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพนักงานและคนงานประจำ ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๒๑ นั้น ได้มีระเบียบเดิมให้พนักงานและคนงานประจำได้รับเงินบำเหน็จอยู่แล้วและระเบียบที่ออกใหม่ดังกล่าวหาใช้บังคับถึงสิทธิรับเงินชดเชยเงินบำเหน็จของพนักงานและคนงานประจำที่ได้บรรจุเข้าทำงานอยู่แล้วก่อนวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ ไม่ โจทก์เข้าทำงานเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๗ การรับเงินบำเหน็จของโจทก์จึงต้องเป็นไปตามระเบียบเดิม ปรากฏตามเอกสารที่จำเลยที่ ๒ ส่งศาลต่อไปว่า ในการที่โรงงานกระสอบป่านกรมโรงงานอุตสาหกรรมจ่ายเงิน ๕๖,๔๖๐ บาท ให้แก่โจทก์นั้นเจ้าหน้าที่โรงงานกระสอบป่านได้ทำบันทึกเสนอลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๑ ความว่าได้คำนวณเงินบำเหน็จของโจทก์แล้วโจทก์มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ ๓ ปี เป็นเงิน ๒๘,๒๓๐ บาท ตามระเบียบโรงงานกระสอบป่านว่าด้วยกองทุนบำเหน็จฯ ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๒๑ ข้อ ๑๔ การจ่ายเงินบำเหน็จนี้ให้ถือเป็นการจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานด้วยและข้อ ๑๔ วรรคสองกำหนดว่า ในกรณีเงินบำเหน็จมีจำนวนน้อยกว่าเงินชดเชยให้โรงงานจ่ายเพิ่มให้ครบเท่ากับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานเงินที่ต้องจ่ายจึงควรเป็น ๒๘,๒๓๐ บาท บวกด้วย๒๘,๒๓๐ บาท รวมเป็นเงิน ๕๖,๔๖๐ บาท และปรากฏตามเอกสารฉบับนี้ว่ามีคำสั่งลงวันที่ ๒๘ เดือนเดียวกันให้ดำเนินการได้ ต่อมาได้มีบันทึกการจ่ายเงินให้โจทก์สองฉบับ ฉบับแรกระบุว่าเงินบำเหน็จจำนวน ๒๘,๒๓๐ บาท ฉบับที่สองระบุว่าเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานจำนวน ๒๘,๒๓๐ บาท และมีผู้ลงชื่อรับเงินในบันทึกการสั่งจ่ายเงินทั้งสองฉบับไปเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๒๑ ฟังได้ว่าโรงงานกระสอบป่านกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้จ่ายเงินบำเหน็จจำนวน ๒๘,๒๓๐ บาทให้โจทก์ตามระเบียบว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพนักงานและคนงานประจำฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งไม่ถูกต้อง จึงจะนำข้อ ๑๔ วรรคแรกแห่งระเบียบว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพนักงานและคนงานประจำฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๒๑ ที่กำหนดให้การจ่ายเงินบำเหน็จถือว่าเป็นการจ่ายค่าชดเชยด้วยมาใช้บังคับมิได้ ศาลฎีกาเห็นว่าโรงงานกระสอบป่านกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้จ่ายเงิน ๒๘,๒๓๐ บาท จำนวนแรกแก่โจทก์และโจทก์รับไปเป็นเงินบำเหน็จแม้เป็นการจ่ายตามระเบียบว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพนักงานและคนงานประจำฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๒๑ แต่เมื่อได้ความตามฟ้องโจทก์ว่ามีจำนวนเท่ากับเงินบำเหน็จตามระเบียบเดิมที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับ จึงไม่มีมูลหนี้ที่โจทก์จะเรียกร้องเงินบำเหน็จตามระเบียบเดิมอีก ไม่ต้องวินิจฉัยว่าระเบียบเดิมนั้นคือระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๑๙ หรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องมุ่งขอบังคับให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จเมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จก็ไม่ต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิได้รับเงินประเภทอื่นหรือไม่และไม่ต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในปัญหาว่าโจทก์มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๒ หรือไม่
พิพากษายืน