คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ขับรถของจำเลยที่2ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังที่นักขับรถอาชีพจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยที่ 1 อาจใช้ความระมัดระวังได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เป็นเหตุให้ชนรถโจทก์ตกถนนพลิกคว่ำได้รับความเสียหาย มิได้บรรยายเลยว่าจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ในการขับรถอย่างไรจำเลยไม่อาจเข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถอย่างไร ซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นการขับด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังทั้งไม่อาจเข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 1 จะใช้ความระมัดระวังอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันมิให้รถชนกันฟ้องโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา172 วรรคสอง เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถเก๋งคันหมายเลขทะเบียนบ.ร.01501 ในฐานะผู้เช่าซื้อรถคันดังกล่าว โจทก์ใช้เป็นรถรับจ้างรับส่งคนโดยสารโดยนายสมพร ตั้งเจริญ เป็นผู้ขับขี่ จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ขับรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ข.ก.03560 ของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2521 ขณะที่นายสมพรขับรถโจทก์ไปตามทางหลวงสายนครราชสีมา – โชคชัย มุ่งหน้าไปทางจังหวัดนครราชสีมา ด้วยความระมัดระวังครั้นถึงระหว่างกิโลเมตรที่ 6-7 จำเลยที่ 1 ซึ่งขับรถของจำเลยที่ 2 ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังที่นักขับขี่รถอาชีพจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยที่ 1 อาจใช้ความระมัดระวังได้แต่ก็หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เป็นเหตุให้รถจำเลยที่ 2 ชนรถโจทก์จนตกถนนพลิกคว่ำหลายทอด รถโจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 108,500 บาท และค่าเสียหายวันละ 100 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะซ่อมรถโจทก์เสร็จและใช้การได้ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากเงินค่าเสียหาย 108,500 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 และขณะเกิดเหตุมิได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 รถคันหมายเลขทะเบียน ข.ก.03560มิใช่เป็นของจำเลยที่ 2 เหตุที่รถชนกันมิใช่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1แต่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายสมพรคนขับรถโจทก์ โดยนายสมพรขับรถตามหลังรถที่จำเลยที่ 1 ขับ ขณะที่จำเลยที่ 1 ขับรถเบนออกข้างขวาเพื่อแซงรถขายไอศกรีมนายสมพรเร่งความเร็วของรถจนเกินกว่ากฎหมายกำหนดแซงขึ้นไปเป็นเหตุให้รถชนกันและตกถนนไปทั้งสองคัน รถโจทก์เสียหายไม่เกิน 2,000 บาท รถโจทก์เป็นรถส่วนบุคคลการนำมารับจ้างเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าขาดรายได้ ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 1 ขับรถชนรถโจทก์โดยประมาทอย่างไร พอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจได้จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 และกระทำละเมิดในทางการที่จ้าง พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 78,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทของนายสมพรผู้ขับขี่รถโจทก์และความประมาทของจำเลยที่ 1 พอๆ กันพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 39,250 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า วันเกิดเหตุนายสมพรขับรถโจทก์แล่นไปตามถนนสายนครราชสีมา – โชคชัย ขณะรถแล่นอยู่ระหว่างหลักกิโลเมตรที่6-7 จำเลยที่ 1 ซึ่งขับรถจำเลยที่ 2 ได้ขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังที่นักขับรถอาชีพจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยที่ 1 อาจใช้ความระมัดระวังได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เป็นเหตุให้รถจำเลยที่ 2 ชนรถโจทก์ตกถนนพลิกคว่ำและได้รับความเสียหาย โจทก์มิได้บรรยายฟ้องเลยว่าจำเลยที่ 1มีพฤติการณ์ในการขับรถอย่างไร จำเลยไม่อาจเข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถอย่างไร ซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นการขับด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง ทั้งไม่อาจเข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 1 จะใช้ความระมัดระวังอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันมิให้รถชนกัน ฟ้องโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่น

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share