คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1131/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

(1) คดีสองสำนวน แม้ศาลจะพิจารณาพิพากษารวมกัน แต่ปรากฎว่า สำนวนหนึ่งมีทุนทรัพย์ 5,000 บาท อีกสำนวนหนึ่งทุนทรัพย์ 15,000 บาท แม้ในชั้นฎีกาได้ฎีการวมกันมา ศาลฎีกาพิจารณาเฉพาะคดีที่มีทุนทรัพย์ เกิน 5,000 บาท ซึ่งไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 เท่านั้น
(2) ในกรณีที่จำเลยมีเจ้าหนี้คำพิพากษาสองราย แต่ทรัพย์ของจำเลยมีเพียงอย่างเดียว เช่น เรือน 1 หลัง ซึ่งไม่สามารถใช้หนี้ทั้งสองรายได้นั้น การที่จำเลยเลือกใช้หนี้เพียงรายใดรายหนึ่ง อันเป็นผลทำให้เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งเสียเปรียบ เพราะไม่มีทรัพย์เหลือพอจะชำระหนี้ได้ และเจ้าหนี้ที่ได้รับชำระหนี้ไปแล้วก็เป็นผู้นำยึดทรัพย์นั้นเอง ทั้งรู้อยู่ด้วยว่า เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งมีสิทธิขอเฉลี่ยจากทรัพย์ที่ยึด แต่กลับไปถอนการยึดเสียแล้ว ตกลงรับชำระหนี้กันโดยลำพัง ซึ่งทำให้เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งเฉลี่ยไม่ได้ เช่นนี้ เป็นการฉ้อฉล เจ้าหนี้ผู้ที่เสียเปรียบนี้ มีสิทธิขอให้ศาลเพิกถอนการชำระหนี้นั้นได้
(3) เมื่อเพิกถอนแล้ว ทรัพย์นั้นก็กลับสู่สภาพเดิม คือ กลับเป็นของจำเลย เจ้าหนี้มีสิทธิยึดชำระหนี้ได้
(4) การที่เจ้าหนี้คนหนึ่งเอาสัมภาระที่ลูกหนี้ตีชำระหนี้ไปปลูกเป็นเรือนขึ้นในที่ดินของตนนั้น สัมภาระได้กลายเป็นส่วนควบของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1315 เจ้าหนี้คนนั้นย่อมเป็นเจ้าของสัมภาระนี้ด้วยอำนาจของกฎหมาย เจ้าหนี้อีกคนหนึ่งที่เสียเปรียบดังกล่าว ย่อมขอให้เพิกถอนได้เฉพาะแต่นิติกรรมดังกล่าว แต่เจ้าหนี้ผู้ที่ได้สัมภาระไปต้องใช้ค่าสัมภาระให้แก่ลูกหนี้ และเจ้าหนี้ที่เสียเปรียบชอบที่จะใช้สิทธิของลูกหนี้ เรียกเอาค่าสัมภาระนี้เพื่อชำระหนี้ เป็นคดีใหม่แต่ไม่อาจยึดเรือนหลังนี้เพื่อขายทอดตลาด
(5) เมื่อฟังอย่างนี้แล้ว ใครสืบก่อนหลังก็ไม่สำคัญ
(ข้อ (2) (4) ประชุมใหญ่ครั้งที่ 34/2505)

ย่อยาว

เดิมโจทก์ในคดีนี้และนางเพิ่ม ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยในคดีนี้ คือนางเพิ่มเป็นเจ้าหนี้ในคดีแพ่งเลขแดงที่ ๒๑/๒๔๙๙ ได้นำยึดเรือนพิพาท เรือนพิพาทนี้ปลูกอยู่ในที่ดินของนายแพง ต่อมาได้ขอถอนการยึดแล้วรื้อเรือนนี้แบ่งเอาสัมภาระไปปลูกเรือนขึ้นใหม่ ๑ หลัง ในที่ดินของตนเอง สัมภาระอีกส่วนหนึ่งนางบุญเส็งบุตรของจำเลยในคดีนี้เอาไปปลูกเรือนอีกหลังหนึ่งในที่ดินแปลงอื่น
เมื่อโจทก์ในคดีนี้ได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา จึงนำยึดเรือนทั้งสองหลังที่กล่าวนี้ อ้างว่าเป็นของจำเลย
นางเพิ่มจึงร้องขัดทรัพย์ว่า เรือนหลังที่ปลูกในที่ดินของตนพร้อมครัวราคา ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นของนางเพิ่มซื้อจากนางบุญเส็ง
นางบุญเส็งร้องขัดทรัพย์ว่า เรือนหนึ่งหลังราคา ๕,๐๐๐ บาท นางบุญเส็งซื้อตัวไม้มาปลูก ไม่ใช่ของจำเลย ขอให้ถอนการยึด โจทก์คัดค้านว่าเป็นของจำเลย
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วฟังว่า เรือนพิพาทเป็นของจำเลย ยกคำร้อง
ทั้งโจทก์และผู้ร้องอุทธรณ์ คือ โจทก์อุทธรณ์ให้สั่งหน้าที่นำสืบใหม่ ผู้ร้องอุทธรณ์ว่าเรือนพิพาทเป็นของผู้ร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยฎีกาของนางบุญเส็ง เพราะทุนทรัพย์ไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ คงวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของนางเพิ่ม โดยเห็นพ้องกับศาลล่างว่า เรือนหลังเก่าเป็นของจำเลย ที่ผู้ร้องนำสืบว่าเป็นของนางบุญเส็งบุตรสาวจำเลยนั้น ฟังไม่ขึ้น แล้วศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า การที่จำเลยรื้อเรือนหลังเก่าลง แล้วนางเพิ่มผู้ร้องเอาสัมภาระส่วนหนึ่ง คือ ไม้กระดาน เสา สังกะสี ไปปลูกเรือนขึ้นใหม่ในที่ดินของตน นั้น เป็นการได้รับสัมภาระอันเป็นเรือนของจำเลยส่วนหนึ่งโดยการรับชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้เงินตามคำพิพากษา และได้วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ว่า จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์และนางเพิ่มผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาทั้งสองราย แต่ทรัพย์ของจำเลยมีเพียงเรือนที่รื้อนี้ ซึ่งไม่สามารถใช้หนี้ทั้งสองรายได้ การที่จำเลยเลือกใช้หนี้แต่รายใดรายหนึ่ง เป็นผลทำให้เจ้าหนี้ที่มิได้รับชำระหนี้เสียเปรียบ เพราะไม่มีทรัพย์เหลือเพียงพอชำระหนี้และผู้ร้องผู้ได้รับชำระหนี้รู้แล้วว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิขอเฉลี่ยจากทรัพย์ที่คนนำยึดได้กลับถอนการยึดเสียตกลงรับชำระหนี้กันโดยลำพัง
ทำให้โจทก์ขอเฉลี่ยไม่ได้ นั้น ว่าเป็นการฉ้อฉล ซึ่งโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ชอบที่จะขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้
เมื่อเพิกถอนแล้ว สัมภาระที่นางเพิ่มผู้ร้องได้ชำระหนี้ไปนั้นย่อมกลับคืนสู่สภาพเดิม คือ ยังเป็นของจำเลยอยู่ เจ้าหนี้มีสิทธิจะยึดชำระหนี้ได้ แล้ววินิจต่อไปโดยมติที่ประชุมใหญ่ว่า การที่นางเพิ่มผู้ร้องเอาสัมภาระซึ่งเป็นของจำเลยไปปลูกเป็นเรือนขึ้นแล้วในที่ดินของตนนั้น สัมภาระนี้ได้กลายเป็นส่วนควบของที่ดินของนางเพิ่มไปแล้ว กรณีต้องด้วยมาตรา ๑๓๑๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นางเพิ่มเป็นเจ้าของสัมภาระนั้นด้วยอำนาจกฎหมาย เจ้าหนี้จะขอเพิกถอนได้เพียงนิติกรรม แต่นางเพิ่มต้องใช้ค่าสัมภาระให้แก่จำเลย โจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิของลูกหนี้ คือ จำเลยเรียกเอาค่าสัมภาระจากนางเพิ่ม เพื่อชำระหนี้เป็นคดีใหม่ หาอาจนำยึดเรือนหลังนี้ขายทอดตลาดชำระหนี้ได้ไม่
ส่วนฎีกาโจทก์ที่ขอให้เปลี่ยนหน้าที่นำสืบนั้น ไม่มีประโยชน์ ฝ่ายใดจะสืบก่อน ข้อเท็จจริงก็คงเดิม
พิพากษาแก้ ให้ถอนการยึดเรือนหลังที่นางเพิ่มร้องขัดทรัพย์นั้น

Share