คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1646/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำละเมิดนำรถยนต์โดยสารเล็กเข้ามาวิ่งแย่งรับคนโดยสารในเส้นทางที่โจทก์ได้รับอนุญาต ขอให้ห้ามและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธินำรถมาวิ่งได้ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับโจทก์ โดยจำเลยต้องจ่ายค่าคิวให้โจทก์วันละ 5 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงเชื่อตามข้อต่อสู้ของจำเลยโดยจำเลยมิได้ฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยนำรถยนต์โดยสารเล็กมาวิ่งในเส้นทางที่โจทก์ได้รับอนุญาตได้โดยเสียค่าคิวให้โจทก์วันละ 5 บาท นั้น เป็นการพิพากษาเกินคำขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบกให้ประกอบการขนส่งประจำทางโดยรถโดยสารจากอุบลราชธานีถึงอำเภอพิบูลมังสาหาร จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์โดยนำรถยนต์ของจำเลยมาวิ่งแย่งรับคนโดยสารในเส้นทางที่โจทก์ได้รับอนุญาต ขอให้พิพากษาห้ามจำเลยกระทำการดังกล่าวและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์และจำเลยกับพวกได้เคยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์ยอมให้จำเลยกับพวกนำรถเข้าวิ่งรับคนโดยสารได้แต่ต้องเสียค่าคิวให้โจทก์วันละ 5 บาทต่อคัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาห้ามจำเลยเดินรถโดยสารทับเส้นทางแข่งขันกับโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยเดินรถยนต์โดยสารบนเส้นทางที่โจทก์ได้รับอนุญาตได้โดยเสียค่าคิวให้โจทก์วันละ 5 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำละเมิดนำรถยนต์โดยสารเล็กเข้ามาวิ่งแย่งรับคนโดยสารในเส้นทางที่โจทก์ได้รับอนุญาต ขอให้ห้ามและเรียกค่าเสียหายจำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยมีสิทธินำรถมาวิ่งได้ตามข้อตกลง แต่ต้องจ่ายค่าคิวให้โจทก์วันละ 5 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงเชื่อตามข้อต่อสู้ของจำเลย โดยที่จำเลยมิได้ฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะยกฟ้องโจทก์ไปเลย การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยนำรถยนต์โดยสารเล็กมาเดินบนเส้นทางของโจทก์ได้โดยเสียค่าคิวให้โจทก์วันละ 5 บาท นั้น จึงเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขอ

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์

Share