แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องโจทก์ตอนต้นได้บรรยายถึงวันเวลาเกิดเหตุ แล้วบรรยายถึงหน้าที่และการกระทำของจำเลยว่า ตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทโจทก์ร่วมจำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และจำเลยที่3 เป็นพนักงานขายของตามหน้าที่ ได้ร่วมกันเบียดบังยักยอกเงินจำนวน 898,914.76 บาท ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยตามหน้าที่ไปเป็นประโยชน์ของจำเลยเสียโดยทุจริตแล้วบรรยายถึงสถานที่เกิดเหตุคำบรรยายฟ้องเช่นนี้ จำเลยสามารถเข้าใจข้อหาได้โดยถูกต้องแล้วว่าโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดอย่างไร ถึงแม้โจทก์จะมิได้บรรยายว่าเงินที่ถูกยักยอกไปเป็นเงินของแผนกใด และเบียดบังเอาเงินไปโดยวิธีการอย่างใด ฟ้องโจทก์ก็หาเคลือบคลุมไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันยักยอกเงินของผู้เสียหายจำนวน 898,914.76 บาท ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยทั้งสามตามหน้าที่ไปเป็นประโยชน์ของจำเลยทั้งสามโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352,353 และคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ว่าฟ้องไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ในส่วนแพ่งขาดอายุความและเป็นฟ้องเคลือบคลุม ขอให้พิพากษายกฟ้องคดีส่วนแพ่งด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 2 ฎีกา
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม ศาลฎีกาให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ร่วมมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ คำฟ้องโจทก์ตอนต้นได้บรรยายถึงวันเวลาเกิดเหตุ แล้วบรรยายถึงหน้าที่และการกระทำของจำเลยว่า ตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทเพชรบุรีจังหวัดพาณิชย์ จำกัด จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นพนักงานขายของบริษัทดังกล่าวตามหน้าที่ ได้ร่วมกันเบียดบังยักยอกเงินจำนวน 898,914 บาท 76 สตางค์ ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยตามหน้าที่ไปเป็นประโยชน์ของจำเลยเสียโดยทุจริต แล้วบรรยายถึงสถานที่เกิดเหตุ ศาลฎีกาเห็นว่า คำบรรยายฟ้องเช่นนี้ จำเลยสามารถจะเข้าใจข้อหาได้โดยถูกต้องแล้วว่า โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดอย่างไร ถึงแม้โจทก์จะมิได้บรรยายว่า เงินที่ถูกยักยอกไปเป็นเงินของแผนกใด และเบียดบังเอาเงินไปโดยวิธีการอย่างไร ฟ้องโจทก์ก็หาเคลือบคลุมไม่ เพราะสารสำคัญของคำฟ้องอยู่ที่ว่า จำเลยได้ร่วมกันเบียดบังยักยอกเอาเงินของผู้เสียหายหรือโจทก์ร่วม ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบและดูแลรักษาของจำเลยตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไปโดยทุจริตจริงหรือไม่ เป็นจำนวนเงินเท่าใด ซึ่งสารสำคัญเหล่านี้โจทก์ได้บรรยายไว้โดยครบถ้วนแล้ว ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้างนั้นเป็นข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบแสดงในชั้นพิจารณา และจำเลยซึ่งนำสืบในภายหลังก็สามารถจะนำสืบแก้ได้อยู่แล้ว หาได้เสียเปรียบหรือหลงข้อต่อสู้แต่อย่างใดไม่ ดังนี้คำฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ได้วินิจฉัยถึงเนื้อหาแห่งคดีว่าจำเลยได้กระทำผิดดังฟ้องโจทก์หรือไม่ จึงไม่ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาในปัญหาที่ยังไม่ได้วินิจฉัยใหม่ตามรูปคดี