คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3570/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การบรรยายคำฟ้องในคดีแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 กำหนดแต่เพียงว่าจะต้องแสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้น หาต้องบรรยายถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดเหมือนกับฟ้องในคดีอาญาไม่ การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นนายท้ายควบคุมเรือด่วนเจ้าพระยาและเรือหางยาว ได้กระทำการอันเป็นความประมาทเลินเล่อ ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเท่าที่วิญญูชนจะพึงใช้ ทำให้เรือด่วนเจ้าพระยาชนกับเรือหางยาวเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายเฟื้อน้องชายร่วมบิดามารดาซึ่งเสียชีวิตแล้วทั้งสองคน จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ทำหน้าที่เป็นนายท้ายเรือด่วนเจ้าพระยาของจำเลยที่ 2 อันเป็นการปฏิบัติงานตามทางที่จ้าง จำเลยที่ 3 เป็นนายท้ายผู้ควบคุมเรือหางยาวของจำเลยที่ 4 ซึ่งนายเฟื้อเป็นผู้โดยสาร ในฐานะตัวแทนหรือลูกจ้างจำเลยที่ 4 ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 3 เป็นบุตรจำเลยที่ 4 ด้วยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 กระทำการอันเป็นความประมาทเลินเล่อไม่ใช้ความระมัดระวังเท่าที่วิญญูชนพึงใช้ทำให้เรือด่วนเจ้าพระยาและเรือหางยาวชนกันในแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้ท่าเตียน เป็นเหตุให้นายเฟื้อถึงแก่ความตายการกระทำของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 ทำให้โจทก์ต้องใช้จ่ายในการติดตามศพและค่าทำศพตลอดจนทรัพย์สินที่ติดตัวผู้ตายต้องสูญหายคิดเป็นเงินทั้งสิ้น103,350 บาท ขอให้จำเลยร่วมกันชำระเงิน 103,350 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ

จำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดี

จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จริงแต่จำเลยที่ 1 มิได้ประมาท เหตุที่เรือชนกันเพราะจำเลยที่ 3ซึ่งเป็นผู้ควบคุมเรือหางยาวขับเรือด้วยความเร็วสูงตัดหน้าเรือด่วนเจ้าพระยาในระยะกระชั้นชิดสุดวิสัยที่จำเลยที่ 1 จะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันแก้ไขได้หากเกิดความเสียหาย จำเลยที่ 3 จะต้องเป็นผู้รับผิด นายเฟื้อมิใช่ผู้โดยสารมาในเรือหางยาวและมิได้ถึงแก่กรรมเพราะเรือชนกันค่าเสียหายที่ฟ้องสูงเกินสมควรแก่ฐานานุรูป โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะดำเนินคดีนี้ ทั้งมิได้ฟ้องในฐานะทายาท ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3 ที่ 4 ให้การและเพิ่มเติมคำให้การว่า จำเลยที่ 3 เป็นบุตรของจำเลยที่ 4 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 3 เช่าเรือหางยาวของจำเลยที่ 4 รับส่งคนโดยสารจำเลยที่ 3 มิใช่ตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 4 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 3 ขับเรือหางยาวออกจากท่าจอดเรือที่ตลาดท่าเตียนขณะเรือหางยาวแล่นอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา จำเลยที่ 1 ขับเรือด่วนเจ้าพระยาด้วยความเร็วสูงมากจนหัวเรือส่ายไปมาแล่นเข้ามาในทางเดินเรือของเรือหางยาว และพุ่งเข้าชนกลางลำเรือหางยาวด้านขวาอย่างแรงจนกราบขวาแตกออกจากตัวเรือและเรือหางยาวจมทันที หากนายเฟื้อโดยสารมากับเรือหางยาวและจมน้ำตาย จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำให้ตายจำเลยที่ 1 ที่ 2 จะต้องรับผิดชอบขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 79,800 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นเรื่องต่างคนต่างทำละเมิด มิใช่ร่วมกันทำละเมิดจำเลที่ 1 ที่ 3 มีส่วนประมาทเท่ากัน และเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้จึงให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วย พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 2 ที่ 3ชำระเงินแก่โจทก์คนละ 39,900 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ว่า การบรรยายคำฟ้องในคดีแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 กำหนดแต่เพียงว่าจะต้องแสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้นหาต้องบรรยายถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดเหมือนกับฟ้องในคดีอาญาไม่ดังนั้นคำฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่า นายชุบ (จำเลยที่ 1) และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นนายท้ายควบคุมเรือด่วนเจ้าพระยาและเรือหางยาวได้กระทำการอันเป็นความประมาทเลินเล่อไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเท่าที่วิญญูชนจะพึงใช้ ทำให้เรือด่วนเจ้าพระยาชนกับเรือหางยาวเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

พิพากษายืน

Share