แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ให้ที่พิพาทแก่จำเลยซึ่งเป็นบุตรเป็นการให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับภริยาซึ่งเป็นมารดาของจำเลยและต่อมาเมื่อโจทก์ไม่โอนที่พิพาทอีกสองแปลงตามคำพิพากษาตามยอมศาลก็พิพากษาให้โจทก์โอนใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของลักษณะการให้ของโจทก์ไม่ใช่เป็นการให้โดยเสน่หาโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยกที่ดิน 3 แปลงให้แก่จำเลยทั้งเจ็ดซึ่งเป็นบุตรต่อมาโจทก์ยากจนลง จำเลยไม่ช่วยเหลือและยังด่าว่าโจทก์ จึงขอให้บังคับจำเลยทุกคนโอนที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวคืนให้โจทก์
จำเลยทั้งเจ็ดให้การว่า โจทก์ไม่ยากไร้และจำเลยไม่เคยด่าว่าโจทก์จำเลยได้รับที่ดินพิพาทมาตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับมารดาจำเลยและศาลฎีกาได้พิพากษาให้โจทก์โอนให้แก่จำเลยทั้งเจ็ดและได้มีการปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้ว โจทก์เรียกถอนคืนการให้ไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงบางประการแล้วสั่งงดสืบพยานและพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ให้ที่พิพาททั้งสามแปลงแก่จำเลยทั้งเจ็ดเป็นการให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับนางสังวาลย์และต่อมาเมื่อโจทก์ไม่โอนที่พิพาทอีกสองแปลงตามคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งเจ็ด จนมีการฟ้องบังคับกัน ศาลฎีกาก็พิพากษาให้โจทก์โอนที่พิพาทอีกสองแปลงใส่ชื่อจำเลยทั้งเจ็ดเป็นเจ้าของลักษณะการให้ของโจทก์จึงไม่ใช่เป็นการให้โดยเสน่หา ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 521 คดีไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป
พิพากษายืน