แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทการที่จำเลยรื้อผังไม้สำหรับการปลูกสร้างโรงเรียนซึ่งผู้เสียหายได้ทำไว้ในที่ดินดังกล่าวแล้วนำไปกองไว้ย่อมเห็นเจตนาได้ว่าเพื่อระงับยับยั้งมิให้ก่อสร้างอาคารโรงเรียนในที่ดินของจำเลย เป็นการใช้สิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของตนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีเหตุสมควรที่จำเลยจะปฏิบัติเช่นนั้นได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 89/2519)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ และร่วมกันรื้อถอนทำให้เสียหายซึ่งผังอาคารเรียนที่กำลังก่อสร้างขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 360, 362, 365, 83 และสั่งคืนของกลางหรือใช้ราคาทรัพย์แก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จำคุกคนละ1 ปี และปรับคนละ 2,000 บาท โทษจำคุกรอไว้คนละ 3 ปี ให้ใช้ราคาค่าตะปู 90 บาทแก่เจ้าของ ของกลางอื่นคืนเจ้าของ ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในข้อหาความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท การที่จำเลยที่ 2 รื้อผังไม้แล้วนำไปกองไว้ที่ข้างอาคารโรงเรียนบ้านสระกรวดหลังเดิม ย่อมเห็นเจตนาได้ว่าเพื่อระงับยับยั้งมิให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ก่อสร้างอาคารโรงเรียนในที่ดินของจำเลยที่ 2 เป็นการใช้สิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของตนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ทั้งตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีเหตุสมควรที่จำเลยที่ 2 จะปฏิบัติเช่นนั้นได้ เพื่อยังให้ความเสียหรือเดือดร้อนสิ้นไปตามมาตรา 1337 การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
พิพากษายืน