คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จะฟังว่า จำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายกระทำความผิดด้วยหรือไม่ต้อง อาศัยจากพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามเท่านั้นว่าเป็นพิรุธเพียงไร มีส่วนเกี่ยวข้องกับกัญชาของกลางอย่างไร และข้อเท็จจริงเป็นดัง ที่โจทก์นำสืบหรือไม่ ทั้งนี้เพราะโดย เหตุผลตาม ธรรมดาแล้ว การที่บุคคลใด บุคคลหนึ่งนั่งไปในรถยนต์ คันเดียวกันกับผู้ที่กระทำความผิด โดยเฉพาะ ความผิดเกี่ยวกับการมีสิ่งของผิดกฎหมายไว้ในครอบครองโดย ไม่ได้รับอนุญาตนั้น ไม่เป็นเหตุผลที่จะให้ฟังเป็นยุติว่าจะต้อง ร่วมกระทำความผิดในความผิดฐาน นั้นไปด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2530 เวลากลางวันจำเลยทั้งสามกับพวกอีก 2 คน ซึ่งหลบหนีไปร่วมกันมีกัญชาแห้ง จำนวน 4 ถุงหนัก 4 กิโลกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตเหตุเกิดที่แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสามได้พร้อมด้วยกัญชาดังกล่าวกับกระเป๋าผ้าขนาดใหญ่2 ใบ ซึ่งใช้ซุกซ่อนกัญชาและรถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้าป้ายทะเบียนสีแดง หมายเลข ก-0055 กรุงเทพมหานคร อันเป็นยานพาหนะซึ่งใช้บรรทุกกัญชาดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 26, 76, 102พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2528 มาตรา 4, 8ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2522) เรื่อง ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 ลงวันที่ 17 กันยายน 2522 ข้อ 4 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 32, 33 ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26, 76 วรรคสองพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 4, 8ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุก 2 ปี ข้อหาสำหรับจำเลยที่ 2ที่ 3 ให้ยกฟ้อง ของกลางทั้งหมดให้ริบ
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 เสียด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาโดยอธิบดีกรมอัยการรับรองว่ามีเหตุอันควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งกันเป็นอย่างอื่นฟังได้ว่า วันเกิดเหตุจำเลยทั้งสามได้นั่งมาในรถยนต์กระบะของกลางพร้อมกับชายอีก 2 คนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องโดยหนึ่งในสองคนนั้นเป็นคนขับ เวลา 13นาฬิกาเศษ คนขับได้ขับรถของกลางเข้าไปในถนนเทศบาลสาย 3แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร อันเป็นซอยที่เกิดเหตุแล้วกลับรถที่ท้ายซอยออกมาจอดชิดซ้ายอยู่ห่างจากปากซอยประมาณ20 เมตร ต่อมาจำเลยทั้งสามถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมกล่าวหาว่ากระทำผิดคดีนี้ และเจ้าพนักงานตำรวจค้นรถยนต์ของกลางพบกัญชาของกลางบรรจุอยู่ในกระเป๋าผ้าสีดำและสีแดงกระเป๋าละ 2 ห่อหนักห่อละ 1 กิโลกรัม ส่วนชายคนขับรถกับชายอีกคนหนึ่งหลบหนีไป ปัญหาพิจารณาในชั้นนี้มีว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดดังฟ้องหรือไม่คดีนี้จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดีมาตั้งแต่แรกเมื่อถูกจับกุมแล้วว่ากัญชาของกลางไม่ได้เป็นของจำเลยทั้งสามจำเลยที่ 1 ที่ 2เป็นเพียงผู้อาศัยรถของนายโก้จากจังหวัดอุดรธานีเข้ามาที่กรุงเทพมหานครด้วย โดยจำเลยที่ 1 จะพาจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกของน้าของตนมาหางานทำในกรุงเทพมหานคร ส่วนจำเลยที่ 3 ต่อสู้คดีว่านายโก้นัดกับจำเลยที่ 3 ไว้ก่อนเกิดเหตุ 2-3 วัน แล้วว่านายโก้จะมารับจำเลยที่ 3 ที่พระโขนงเกี่ยวกับเรื่องไปซื้อวัวควายและได้ต่อสู้คดีเช่นนี้มาตลอดจนถึงชั้นสอบสวนและชั้นศาลในชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสามก็ให้การว่าถูกจับกุมที่ร้านอาหารไม่ได้ถูกจับ ขณะอยู่บนรถยนต์ของกลาง โจทก์มีประจักษ์พยานคือ ร้อยตำรวจเอกเชิดชาย สัตตบุศย์ นายดาบตำรวจอภิรุม เอมระดีและจ่าสิบตำรวจณรงค์ น้อยวงศ์ ผู้ร่วมกันจับกุมจำเลยทั้งสามพยานทั้งสามปากนี้เบิกความยืนยันว่า ระหว่างที่พยานทั้งสามพากันตรงเข้าไปที่รถยนต์กระบะของกลาง มีชาย 2 คน เปิดประตูหน้ารถวิ่งหนีออกไปทางข้างซอย แต่จำเลยทั้งสามนั่งอยู่ในกระบะท้ายรถ พบกระเป๋าผ้าสีดำวางอยู่บนตักจำเลยที่ 1 และพบกระเป๋าผ้าสีแดงขนาดเดียวกับกระเป๋าสีดำวางอยู่ในรถ ทั้งสองใบ มีกัญชาของกลางบรรจุอยู่ เนื่องจากคดีนี้จำเลยทั้งสามต่อสู้คดีว่ากัญชาของกลางไม่ใช่ของจำเลยทั้งสาม แต่เป็นของนายโก้ที่หลบหนีไปเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามีคนหลบหนีไปได้ 2 คน และคนที่หลบหนีคนหนึ่งเป็นคนขับรถของกลางด้วยแล้ว พฤติการณ์ของคนที่หลบหนีไปทั้งสองคนนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นพิรุธและน่าจะต้องเป็นเจ้าของหรือมีส่วนร่วมรู้ด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นการที่จะฟังว่าจำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายกระทำความผิดคดีนี้ด้วยก็ต้องอาศัยจากพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามเท่านั้นว่าเป็นพิรุธเพียงไร มีส่วนเกี่ยวข้องกับกัญชาของกลางอย่างไร และข้อเท็จจริงเป็นดังที่โจทก์นำสืบหรือไม่ทั้งนี้เพราะโดยเหตุผลตามธรรมดาแล้ว การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งนั่งไปในรถยนต์คันเดียวกันกับผู้ที่กระทำความผิด โดยเฉพาะความผิดเกี่ยวกับการมีสิ่งของผิดกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ไม่เป็นเหตุผลที่จะให้ฟังเป็นยุติว่าจะต้องร่วมกระทำความผิดในความผิดฐานนั้นไปด้วย ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามปากโดยละเอียดแล้ว ปรากฏว่าพยานโจทก์ทั้งสามปากเบิกความแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ กล่าวคือร้อยตำรวจเอกเชิดชายกับจ่าสิบตำรวจณรงค์เบิกความว่า พบกระเป๋าผ้าสีแดงวางอยู่บนกระเป๋าเสื้อผ้าตอนในสุดของท้ายรถยนต์กระบะแต่นายดาบตำรวจอภิรุมกลับเบิกความว่าตรวจค้นพบกระเป๋าสีแดงที่บรรจุกัญชาอยู่ในเก๋งด้านหลังคนขับจึงเป็นข้อพิรุธ โดยเฉพาะคดีนี้จำเลยทั้งสามก็ต่อสู้คดีมาตั้งแต่แรกว่ากัญชาของกลางเป็นของเจ้าของรถ รูปคดีจึงเป็นที่น่าสงสัยว่าเหตุการณ์ตอนจับกุมจำเลยทั้งสามจะเป็นดังที่โจทก์นำสืบหรือเป็นดังที่จำเลยทั้งสามต่อสู้คดีไว้ เมื่อพยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญเป็นพิรุธเช่นนี้พยานหลักฐานของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามโดยเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ว่านั่งอยู่ในรถโดยเอากระเป๋าใส่กัญชาวางไว้บนตัก จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเป็นความจริงได้ข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่า จำเลยทั้งสามได้นั่งรถยนต์กระบะของกลางมาพร้อมกับชาย 2 คน ที่หลบหนีไปได้เท่านั้นไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยเกี่ยวกับกัญชาของกลางรายนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share