คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1669/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยที่ 3 จะให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ที่กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานมิได้กำหนดปัญหาข้อนี้เป็นประเด็นข้อพิพาท และจำเลยที่ 3 ก็มิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ถือว่าจำเลยที่ 3 ได้สละประเด็นข้อพิพาทนี้แล้วจึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกา ไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 2 ฎีกามีใจความทำนองเดียวกับอุทธรณ์ มิได้โต้แย้งหรือคัดค้านว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องด้วยประการใดจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า แม้จำเลยที่ 1 จะประมาท แต่ ผู้ขับรถยนต์โดยสารก็มีส่วนร่วมประมาทด้วย การกำหนดค่าเสียหายก็ควรให้ผู้ร่วมทำละเมิดร่วมรับผิดชอบด้วยนั้นปัญหานี้จำเลยที่ 3 มิได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของโรงงานน้ำปลาไทยรุ่งโรจน์และมีชื่อเป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. 04828 แต่ทำนิติกรรมลวงบุคคลภายนอกว่า จำเลยที่ 2 ได้เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากจำเลยที่ 3ความจริงจำเลยที่ 3 ยังใช้รถยนต์ดังกล่าวในกิจการของจำเลยที่ 3 และให้จำเลยที่ 2 ครอบครองควบคุมดูแลการขนส่งน้ำปลาของจำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2518 จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 3 กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวบรรทุกน้ำปลาไปจังหวัดชัยภูมิโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ควบคุม จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความประมาทด้วยความเร็วสูง ไม่ชะลอความเร็วลง และแซงรถคันอื่นในทางโค้งทั้งเป็นที่คันอันเป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน อ.บ. 02555 ซึ่งสวนทางมา ทำให้ผู้โดยสารและคนขับรถยนต์โดยสารถึงแก่ความตาย 3 คน โจทก์ได้รับอันตรายแก่กาย โดยกระดูกแขนซ้ายหักมีอาการเจ็บ เส้นประสาทระดับเหนือข้อศอกขึ้นไปและกล้ามเนื้อแขนเป็นอัมพาต แขนและมือซ้ายใช้การไม่ได้ โจทก์ต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาลเป็นเงิน 29,195 บาท โจทก์กลายเป็นคนพิการตลอดชีวิตขอคิดค่าเสียหาย 40,000 บาท โจทก์มีอาชีพเป็นพนักงานบัญชีและเลขานุการทั่วไปของบริษัทตั้งเจริญกิจ ก่อสร้างจำกัด ขาดรายได้เป็นเงิน 36,000 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน7,889.62 บาท รวมค่าเสียหายถึงวันฟ้อง 113,084.62 บาท ขอให้ศาลพิพากษาและบังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 113,084.62 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 โจทก์ขอถอนฟ้อง ศาลอนุญาต

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 3 แต่เป็นลูกจ้างขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. 04828 ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3ไม่ใช่เจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าว โดยจำเลยที่ 3 ขายให้จำเลยที่ 2 โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือน ขณะเกิดเหตุน้ำปลาที่บรรทุกอยู่เป็นของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ซื้อจากจำเลยที่ 3 และนำไปจำหน่าย โจทก์จะโดยสารและได้รับบาดเจ็บหรือไม่จำเลยที่ 3 ไม่ทราบและไม่รับรองจำเลยที่ 1 ไม่ได้ประมาทเหตุเกิดเพราะความประมาทของนายสีคนขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน อ.บ. 02555 โดยขับรถด้วยความเร็วสูงในทางโค้งเป็นเหตุให้เสียหลักล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในเส้นทางของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ร.บ. 04828 ซึ่งแล่นมาพอดีจึงชนกับโจทก์บาดเจ็บเล็กน้อย ค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 5,000 บาท และรักษาพยาบาลไม่เกิน15 วัน ค่าเสียหายระหว่างรักษาพยาบาลไม่เกินวันละ 50 บาท เป็นเงินไม่เกิน 750 บาท กับต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์55,895 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้อง 4,192.12 บาท รวม 60,087.12 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 60,187.12 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 2 ที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 55,895 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3และค่าเสียหายที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้เป็นเงิน 55,895 บาทเหมาะสมแล้ว แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่าที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 ได้ให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ที่กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าจำเลยที่ 1 กระทำอย่างไรเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย แต่โจทก์ไม่นำสืบให้ชัดแจ้งเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 3 จะให้การต่อสู้ไว้ดังกล่าวก็จริงแต่เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดปัญหาข้อนี้เป็นประเด็นข้อพิพาทและจำเลยที่ 3 ก็มิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ ถือว่าจำเลยที่ 3ได้สละประเด็นข้อพิพาทนี้แล้ว เป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้นศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยและที่จำเลยที่ 2 ฎีกาปัญหาเรื่องโจทก์ไม่ได้นำสืบถึงความประมาทของจำเลยที่ 1 ให้ได้ความชัดแจ้งมาด้วย แต่จำเลยที่ 2ก็ฎีกามีใจความทำนองเดียวกับอุทธรณ์ฎีกาของจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งหรือคัดค้านว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องด้วยประการใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า แม้จำเลยที่ 1 จะประมาท แต่ผู้ขับรถยนต์โดยสารก็มีส่วนร่วมประมาทด้วย การกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ก็ควรให้ผู้ร่วมทำละเมิดร่วมรับผิดชอบด้วย ควรให้โจทก์ได้รับค่าเสียหายเพียงครึ่งเดียว ปัญหานี้จำเลยที่ 3 มิได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายืน

Share