คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่ความตกลงท้าแพ้ชนะกันว่า ถ้าคดีแพ่งอีกเรื่องหนึ่งของศาลชั้นต้นเดียวกันถึงที่สุดโดยพิพากษาว่าที่ดินเป็นของ ช.โจทก์ยอมแพ้ ถ้าคดีถึงที่สุดว่าที่ดินเป็นของโจทก์ จำเลยและจำเลยร่วมยอมแพ้จำเลยและจำเลยร่วมยอมออกจากที่ดิน เช่นนี้เมื่อปรากฏว่าคดีแพ่งอีกเรื่องหนึ่งนั้นถึงที่สุดโดยพิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ จำเลยและจำเลยร่วมจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ ต่อมาได้ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าเป็นเวลา ๑ ปีเศษ ขอให้พิพากษาขับไล่จำเลย
จำเลยให้การว่า เดิมนายเชาวฤทธิ์ได้ติดต่อกับจำเลยจะก่อสร้างสถานีบริการน้ำมันและจะเข้าดำเนินกิจการบนที่ดินพิพาท โดยอ้างว่าเป็นของตนเอง แล้วจะให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทและอาคารสิ่งปลูกสร้าง สำหรับค่าเช่าให้ใช้วิธีหักกลบลบหนี้กับสิทธิในการดำเนินกิจการสถานีบริการน้ำมัน ต่อมาปรากฏว่าที่ดินพิพาทมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ จำเลยได้ทักท้วง แต่โจทก์และนายเชาวฤทธิ์ยืนยันให้จำเลยจดทะเบียนการเช่าโดยถือตามข้อตกลงเดิม จำเลยจึงเข้าทำการจดทะเบียนการเช่ากับโจทก์และไม่เคยชำระค่าเช่าแก่โจทก์ ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเรียกนายเชาวฤทธิ์เข้าเป็นจำเลยร่วม
จำเลยร่วมให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนางช่วง นางช่วงเป็นผู้ให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทมีกำหนด ๑๕ ปี และจำเลยร่วมทำสัญญาเช่าสถานีบริการและยืมเครื่องมือกับอุปกรณ์ในการจำหน่ายน้ำมันจากจำเลยอีกต่อหนึ่ง แต่เมื่อที่ดินพิพาทมีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เพราะยังไม่ได้แบ่งแยกโฉนด จำเลยร่วมจึงต้องนำโจทก์ไปเป็นคู่สัญญาจดทะเบียนการเช่ากับจำเลย จำเลยร่วมกับนางช่วงเป็นผู้ครอบครองรับประโยชน์จากสถานีบริการตลอดมา โจทก์เป็นคู่สัญญาแต่ในนามโจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน คู่ความตกลงท้าแพ้ชนะกันว่า ถ้าคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๙/๒๕๒๑ ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดพิพากษาว่าที่ดินเป็นของนางช่วง โจทก์โจทก์ยอมแพ้ ถ้าคดีถึงที่สุดว่าที่ดินเป็นของโจทก์ จำเลยยอมแพ้ จำเลยและจำเลยร่วมยอมออกจากที่ดิน โจทก์สละสิทธิไม่เรียกค่าเสียหาย
ปรากฏว่าคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๙/๒๕๒๑ ดังกล่าวถึงที่สุด โดยศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยและจำเลยร่วมจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คู่ความตกลงท้าแพ้ชนะกันว่าถ้าคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๙/๒๕๒๑ ของศาลชั้นต้นเดียวกันถึงที่สุดพิพากษาว่าที่ดินเป็นของนางช่วงโจทก์ยอมแพ้ ถ้าคดีถึงที่สุดว่าที่ดินเป็นของโจทก์ จำเลยและจำเลยร่วมยอมแพ้จำเลยและจำเลยร่วมยอมออกจากที่ดิน โจทก์สละสิทธิไม่เรียกค่าเสียหาย เมื่อปรากฏว่าศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๙/๒๕๒๑ ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ดังนี้ เห็นว่าได้มีการปฏิบัติถูกต้องตรงตามคำท้าแล้ว คำท้าชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจะโต้เถียงเป็นอย่างอื่นหาได้ไม่ และมิใช่เป็นกรณีที่จะยกเลิกคำท้าได้ จำเลยและจำเลยร่วมต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า
พิพากษายืน

Share