แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การแย่งการครอบครองที่บ้าน ที่สวน ที่ต้องใช้อายุความ9 ปี 10 ปี ตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 นั้น ต้องได้ความว่ามีสภาพเป็นที่บ้านที่สวนมาก่อนประกาศใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 ถ้าไม่ปรากฏว่าเป็นที่บ้านที่สวนมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 แล้ว ก็ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 อันว่าด้วยที่ดินมือเปล่าซึ่งผู้ยึดถือมีแต่สิทธิครอบครอง
การร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนนั้น ไม่ทำให้การครอบครองที่ดินสะดุดหยุดลง เพราะมิใช่เป็นการฟ้องคดีต่อศาล
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้ง 3 สำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของพันโทโพยม จุลานนท์ ผู้ไม่อยู่ ตามคำสั่งของศาลแพ่งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 พันโทโพยม จุลานนท์ เป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส. 3เลขที่ 210 ซึ่งตั้งอยู่บ้านหมู่ที่ 14 ตำบลหางดง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่เนื้อที่ 9 ไร่เศษ จำเลยทั้งสามต่างเข้าไปปลูกบ้านคนละหลัง และปลูกพืชไร่ในสวนหนึ่งของที่ดินแปลงนี้อันเป็นที่ดินพิพาทคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 7 ไร่
ฎีกาโจทก์ที่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่บ้านที่สวน การแย่งการครอบครองต้องถืออายุความ 9 ปี 10 ปี ตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 และโจทก์ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธร อำเภอหางดงพนักงานสอบสวนรับจะไกล่เกลี่ยให้ ระยะเวลาที่รอการไกล่เกลี่ย อายุความยังไม่นับ โจทก์มีสิทธิฟ้องคดีนี้ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 จะต้องมีสภาพเป็นที่บ้านที่สวนมาก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2475 และการอ้างสิทธิตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 ผู้อ้างต้องแสดงให้เห็นว่าที่ดินนั้นเป็นที่บ้านที่สวนตามความหมายแห่งบทกฎหมายดังกล่าว หากไม่มีข้อเท็จจริงให้เห็นว่าเป็นที่บ้านที่สวนมาก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 4 แล้ว กรณีก็ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 4 อันว่าด้วยที่ดินมือเปล่าซึ่งผู้ยึดถือมีแต่สิทธิครอบครอง คดีนี้ไม่มีประเด็นกล่าวถึงเลยว่าที่ดินพิพาทมีสภาพเป็นที่บ้านที่สวนมาแต่เมื่อใดตามข้อนำสืบของจำเลยก็ปรากฏแต่เพียงว่า จำเลยเพิ่งบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านและพืชไร่ในที่ดินพิพาทเมื่อไม่กี่ปีมานี้ อันเป็นเวลาภายหลังที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 ประกาศใช้แล้ว ที่ดินพิพาทจึงเป็นที่ดินมือเปล่ามิใช่ที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 คดี ได้ความตามคำฟ้องและตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ทราบถึงการที่จำเลยทั้งสามบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ในเดือนเมษายน 2520โจทก์ชอบที่จะฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองหรือเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากจำเลยทั้งสามภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกรบกวนหรือถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1374 และ 1375 แต่โจทก์เพิ่งฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2521เกินกำหนดหนึ่งปีแล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองหรือเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยทั้งสาม การที่โจทก์ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอหางดงตามเอกสารหมาย จ.11พนักงานสอบสวนรับจะทำการไกล่เกลี่ยให้และนัดโจทก์กับจำเลยทั้งสามไปเจรจากันในวันที่ 10 เมษายน 2521 จำเลยทั้งสามไม่ยอมรับการไกล่เกลี่ยและไม่ยอมออกไปจากที่ดินพิพาท กรณีเช่นนี้ไม่ทำให้การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยทั้งสามสะดุดหยุดลงแต่ประการใด เพราะโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกรบกวนหรือถูกแย่งการครอบครอง”
พิพากษายืน