แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อรถยนต์เนื่องจากถูกไฟไหม้ ซึ่ง โจทก์บรรยายฟ้องมาชัดแจ้งแล้วว่าผู้เอาประกันภัยจะเป็นผู้เผารถเองหรือใครเผาก็ตาม จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัย คำบรรยายฟ้องของโจทก์ที่กล่าวถึงผู้เผารถมาเช่นนี้เป็นการเพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ดังฟ้องหรือไม่ มิได้ทำให้จำเลยหลงต่อสู้แต่ประการใด และเมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้ว เห็นได้ว่าเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อรถยนต์เนื่องจากถูกไฟไหม้ จำเลยต่อสู้คดีว่าผู้เอาประกันภัยเป็นผู้เผารถยนต์คันที่เอาประกันภัยเอง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ดังนี้ หน้าที่นำสืบในข้อนี้ตกแก่จำเลย
ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติห้ามว่า เมื่อทนายความได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีใดแล้ว จะทำหน้าที่เป็นทนายความในคดีนั้นอีกไม่ได้ ดังนั้น เมื่อโจทก์มอบอำนาจให้ทนายความเป็นผู้ฟ้องคดีแทน และแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นทนายความของตนอีกฐานะหนึ่งด้วย ศาลก็ย่อมพิพากษาให้จำเลยผู้แพ้คดีใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายบุญเกียรติได้เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ 1 คันโจทก์ได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยเพื่อความเสียหายอันจะเกิดจากไฟไหม้จำเลยได้พิมพ์ชื่อนายบุญเกียรติลงไว้ในวงเล็บหลังชื่อโจทก์ต่อมารถดังกล่าวถูกไฟไหม้เสียหายทั้งคัน โจทก์จึงเรียกร้องให้จำเลยชดใช้เงินแก่โจทก์แต่จำเลยปฏิเสธ โดยอ้างว่านายบุญเกียรติเป็นผู้เอาประกันภัย และเป็นผู้เผารถเอง โจทก์เห็นว่าแม้นายบุญเกียรติจะเป็นผู้เผารถเองหรือไม่ก็ตาม จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามกรมธรรม์ ทั้งข้ออ้างดังกล่าวก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของตำรวจเท่านั้น ขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้รับประกันภัยรถยนต์ตามฟ้องจากโจทก์แต่รับประกันภัยจากนายบุญเกียรติ นายบุญเกียรติผู้เอาประกันภัยเป็นผู้เผารถคันดังกล่าวเอง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายว่าผู้ใดเป็นผู้เผารถยนต์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ตามฟ้องพร้อมด้วยดอกเบี้ยและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะเรื่องดอกเบี้ย และให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยในข้อที่ว่าบริษัทจำเลยจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างเวลาประกันภัยต่อรถยนต์เนื่องจากถูกไฟไหม้อันมิได้เกิดจากการชนหรือการคว่ำ (ตามกรมธรรม์ประกันภัย หมวดที่ 3 ข้อ 3.1) ซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องมาชัดแจ้งแล้วว่า แม้นายบุญเกียรติจะเป็นผู้เผารถเองหรือใครเผาก็ตามจำเลยก็ยังต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัยทั้งข้ออ้างของจำเลยที่ว่านายบุญเกียรติเป็นผู้เผารถยนต์คันที่เอาประกันภัยก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของตำรวจ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่านายบุญเกียรติเผาหรือใครเผา คำบรรยายฟ้องของโจทก์ที่กล่าวถึงผู้เผารถมาเช่นนี้เป็นการเพียงพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ดังฟ้องหรือไม่ มิได้ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้แต่ประการใด และเมื่ออ่านคำฟ้องของโจทก์โดยตลอดแล้ว เห็นได้ว่าเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ต้องตามมาตรา 172 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยฎีกาว่า นายบุญเกียรติเป็นผู้เอาประกันภัยร่วมกันกับโจทก์ และนายบุญเกียรติเป็นผู้เผารถยนต์คันที่เอาประกันภัยเสียเอง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นสมควรพิจารณาในข้อที่ว่านายบุญเกียรติเป็นผู้เผารถยนต์คันที่เอาประกันภัยจริงหรือไม่เสียก่อน โดยหน้าที่นำสืบในข้อนี้ตกแก่จำเลย
ปัญหาข้อสุดท้ายจำเลยฎีกาว่า การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์นั้นไม่ชอบ เพราะนายมนูญ วัชรานันท์ทนายความเป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ฟ้องคดีนี้ การกระทำใด ๆของนายมนูญจึงถือเสมือนเป็นการกระทำของโจทก์เอง พิเคราะห์แล้วเห็นว่านายมนูญเป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ฟ้องคดีนี้ก็จริง แต่โจทก์ก็ได้แต่งตั้งให้นายมนูญทำหน้าที่เป็นทนายความของตนอีกฐานะหนึ่งด้วย ดังปรากฏตามใบแต่งทนายความฉบับลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2521 ในสำนวนทั้งไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติห้ามว่า เมื่อทนายความได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีใดแล้วจะทำหน้าที่เป็นทนายความใดคดีนั้นอีกไม่ได้ ฉะนั้นการที่นายมนูญได้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนโจทก์มานั้น จึงเป็นการกระทำในฐานะทนายโจทก์ด้วย ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้โจทก์ชนะคดีและให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน