แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ของผู้เยาว์เกินกว่าสามปี ที่บิดาผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้ทำแทนผู้เยาว์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล สัญญานั้นไม่มีผลบังคับผูกพันผู้เยาว์ตั้งแต่การเช่าครบ 3 ปีแล้วตลอดมา และไม่เป็นโมฆียะอันจะพึงบอกล้างได้ จึงไม่เป็นกรณีที่ผู้เยาว์เมื่อบรรลุนิติภาวะแล้วจะให้สัตยาบันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1550
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณ 8-9 ปีมานี้ จำเลยได้เช่าห้องแถวเลขที่ 127 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2327 ของโจทก์ทั้งสี่โดยเช่าด้วยวาจา ค่าเช่าเดือนละ 60 บาทตลอดมาจนบัดนี้ โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไปจึงแจ้งเลิกการเช่า ให้จำเลยออกไปภายในเดือนพฤษภาคม 2512 จำเลยไม่ยอมออก จำเลยค้างค่าเช่าติดต่อกันตลอดมาถึงวันฟ้องเป็นเวลา 5 เดือน เป็นเงิน 300 บาท จึงขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหายเดือนละ 300 บาท จากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากห้องของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อ พ.ศ. 2493 นายสงวนผู้แทนโดยชอบธรรมในฐานะผู้แทนโจทก์ ให้นายเสียงออกเงินสร้างห้องแถวพิพาท แล้วให้สิทธินายเสียงเช่าจนตลอดชีวิต และมีสิทธิโอนสิทธิตามสัญญาต่างตอบแทนให้ผู้อื่นได้โดยผู้รับโอนมีสิทธิเช่นเดียวกับนายเสียง พ.ศ. 2504 นายเสียงได้โอนสิทธิตามสัญญาต่างตอบแทนให้แก่จำเลยโดยความยินยอมของนายสงวน จำเลยจึงเข้าอยู่ในห้องพิพาทโดยเสียค่าเช่าให้โจทก์เดือนละ 60 บาทตลอดมา จนกระทั่งตั้งแต่เดือนมีนาคม 2512 เป็นต้นมา โจทก์จึงไม่มาเก็บค่าเช่าก่อนฟ้องโจทก์ไม่เคยมีหนังสือบอกเลิกการเช่า จึงขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง และให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าห้องพิพาทให้จำเลยเช่าตลอดชีวิตในอัตราค่าเช่า 60 บาทต่อเดือน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยตกลงกับนายเสียงดังจำเลยอ้างนายสุขุมบิดานายเสียงเป็นผู้ขอเช่าห้องพิพาทจากโจทก์โดยเสียเงินกินเปล่าให้แล้วให้นายเสียงอยู่ ต่อมาจำเลยมาเช่าห้องพิพาทโดยเสียเงินกินเปล่าให้นายเสียงโดยโจทก์ยินยอม แต่ไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทน และตัดฟ้องว่านายสงวนบิดาโจทก์จะทำนิติกรรมให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ของผู้เยาว์เกินกว่า 3 ปี ได้ต้องรับอนุญาตจากศาลก่อน ข้ออ้างของจำเลย จึงไม่มีผลบังคับทั้งมิได้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงมีผลบังคับได้เพียง 3 ปี บัดนี้พ้น 3 ปีแล้ว โจทก์มีสิทธิบอกเลิกการเช่าได้
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า แม้จะฟังว่านายเสียงทำสัญญาต่างตอบแทนกับโจทก์ดังจำเลยอ้าง แต่เป็นการทำนิติกรรมให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินกว่า 3 ปี และขณะทำนิติกรรมโจทก์ทั้งสี่เป็นผู้เยาว์นายสงวน นิลดำ เป็นผู้ทำนิติกรรมแทนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 และเป็นโมฆะตามมาตรา 113 จำเลยผู้รับโอนสิทธิตามสัญญาดังกล่าวจากนายเสียง คิดประเสริฐ จะอ้างสัญญาดังกล่าวอันเป็นโมฆะมาใช้บังคับไม่ได้ และการเช่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยโดยไม่จำต้องบอกเลิกการเช่าก่อนแต่ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเช่าที่อ้างว่าจำเลยค้างชำระ คงเรียกได้แต่ค่าเสียหายจากวันฟ้องเป็นต้นไป พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องพิพาทและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 60 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากห้องพิพาท ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างถึงวันฟ้องและยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า 1. แม้ว่าสัญญาต่างตอบแทนที่จำเลยอ้างนายสงวนนิลดำ จะให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ของผู้เยาว์เกินกว่า 3 ปีโดยมิได้รับอนุญาตจากศาลก็ไม่เป็นโมฆะ แต่เป็นเพียงโมฆียะ เมื่อโจทก์ยังไม่บอกล้างสัญญาดังกล่าวจึงยังคงผูกพันโจทก์อยู่ 2. ขณะฟ้องคดีนี้โจทก์ที่ 1 อายุ 22 ปี โจทก์ที่ 2 อายุ 21 ปี ดังนั้น หลังจากที่โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 บรรลุนิติภาวะแล้ว โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ยังคงให้จำเลยเช่าห้องพิพาทต่อไป จึงเท่ากับเป็นการให้สัตยาบันสัญญาเช่ารายนี้แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1550 การเช่าย่อมผูกพันโจทก์
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้ว ตามฎีกาของจำเลยข้อ 1 เห็นว่าการให้เช่าห้องพิพาทดังที่จำเลยอ้าง เป็นการให้เช่าที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1546 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงไม่มีผลบังคับและไม่เป็นโมฆียะอันจะพึงบอกล้างได้ สัญญาเช่าจึงไม่ผูกพันโจทก์ ตามฎีกาของจำเลยข้อ 2 เห็นว่า แม้ก่อนฟ้องโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 จะบรรลุนิติภาวะแล้วก็ตาม แต่การให้เช่าห้องพิพาทดังที่จำเลยอ้างไม่มีผลบังคับมาตั้งแต่การเช่าครบ 3 ปีแล้ว ซึ่งไม่ผูกพันผู้เยาว์ (โจทก์ทุกคน) ตั้งแต่ขณะนั้นตลอดมาและไม่เป็นกรณีที่จะให้สัตยาบันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1550 ฉะนั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีจึงชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน