คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5395/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองไปแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ผู้รับมอบอำนาจได้ฟ้องบังคับชำระหนี้และบังคับจำนองโจทก์เป็นคดีอีก แต่เมื่อโจทก์ตัดต่อขอให้จำเลยที่ 1ถอนฟ้อง ทนายจำเลยที่ 1 ก็ดำเนินการถอนฟ้องโจทก์ก่อนมีการสืบพยานเห็นได้ว่าในขณะฟ้องคดีดังกล่าว จำเลยที่ 2 เข้าใจโดยสุจริตว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากโจทก์ การฟ้องโจทก์ในคดีดังกล่าวจึงมุ่งประสงค์จะให้ศาลบังคับให้โจทก์ชำระหนี้ มิได้จงใจกลั่นแกล้งฟ้องโจทก์เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 ทั้งตามพฤติการณ์ในคดีฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการประมาทเลินเล่อจึงไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เดิมโจทก์ทำสัญญาค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของนางสุมาลี สืบแสงอินทร์ ไว้แก่จำเลยที่ 1พร้อมกับนำโฉนดที่ดินของโจทก์จดทะเบียนจำนองด้วย ต่อมาจำเลยที่ 1ทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองในต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวน1,138,842.47 บาท โจทก์ต่อรองขอชำระเพียง 900,000 บาทและขอไถ่ถอนจำนอง จำเลยที่ 1 อนุมัติ โจทก์จึงไถ่ถอนจำนองไปแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์บังคับชำระหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันนางสุมาลีอีกเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 2,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า แม้โจทก์จะชำระเงินจำนวน900,000 บาท ไถ่ถอนจำนองแล้ว แต่โจทก์ยังมีความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันอยู่หนี้ตามหนังสือค้ำประกันยังไม่ระงับการฟ้องคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 กระทำโดยสุจริตมิได้มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ไม่ทราบมาก่อนว่ามีการไถ่ถอนจำนองเพิ่งทราบก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์และเมื่อทราบแล้วก็ได้ถอนฟ้องโจทก์โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย หากจะเสียหายก็ไม่เกิน 5,000 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 ดำเนินการถอนฟ้องโจทก์ในทันทีที่ทราบว่าโจทก์ได้ชำระหนี้ให้แล้ว เห็นเจตนาจำเลยที่ 1ได้ว่าในขณะฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1ให้ฟ้องคดีดังกล่าวเข้าใจโดยสุจริตว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากโจทก์ การที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์จึงมุ่งประสงค์จะให้ศาลบังคับให้โจทก์ชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 มิได้จงใจที่จะกลั่นแกล้งฟ้องโจทก์ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ไม่เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 ทั้งตามพฤติการณ์ในคดีฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการประมาทเลินเล่อการที่จำเลยทั้งสองฟ้องโจทก์ดังกล่าว น่าจะเป็นเพราะความเข้าใจสับสน ซึ่งกรณีเช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้ในการประกอบธุรกิจธนาคารการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
พิพากษายืน

Share