แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยกู้ยืมเงินผู้เสียหาย และออกเช็คไว้ล่วงหน้าให้เป็นการชำระหนี้เงินกู้ โดยตกลงกันว่าเมื่อเช็คถึงกำหนดให้นำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคารได้ เช่นนี้ จำเลยมีเจตนาจะใช้เช็คนั้นเป็นการชำระหนี้ มิใช่เพื่อประกันการกู้ยืม
ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497 มาตรา 3 เกิดขึ้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินและจะถือว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินได้ก็ต่อเมื่อมีการยื่นเช็คต่อธนาคารและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว เพียงแต่ผู้เสียหายไปถามธนาคาร ธนาคารบอกว่าเงินในบัญชีจำเลยไม่มี ยังถือไม่ได้ว่าธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน อายุความจึงยังไม่เริ่มนับ
จำเลยออกเช็คให้ผู้เสียหายทั้งที่ทราบอยู่ว่า ไม่มีเงินฝากอยู่ในธนาคาร และตั้งแต่จำเลยออกเช็คตลอดมาจนถึงวันที่ผู้เสียหายนำเช็คไปขึ้นเงินธนาคาร จำเลยไม่มีเงินในบัญชีเงินฝากที่ธนาคารเลยเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินเท่านั้น หาเป็นความผิดฐานออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงใช้เงินได้ในขณะออกเช็คนั้นไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2511 เวลากลางวันจำเลยได้บังอาจออกเช็คของธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาอุดรธานีหมายเลข เค.เอส.095855 ลงวันสั่งจ่ายวันที่ 20 ธันวาคม 2511สั่งจ่ายเงินจำนวน 10,000 บาท มอบให้แก่นางเอมอร อุฬารกุล เพื่อเป็นการชำระหนี้ ต่อมาวันที่ 13 มีนาคม 2512 นางเอมอร อุฬารกุลได้นำเช็คนี้ไปเบิกเงินต่อธนาคารดังกล่าว ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย ทั้งนี้จำเลยออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คและออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันพึงจะใช้เงินได้ในขณะออกเช็คโดยเจตนาทุจริตเหตุเกิดที่ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 3
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ คือผู้เสียหายเสร็จ 1 ปาก จำเลยแถลงรับว่า ได้ออกเช็คฉบับที่โจทก์ฟ้องลงวันที่ 20 ธันวาคม 2511 จริง โดยจำเลยกู้เงินผู้เสียหายมา และรับว่าเมื่อเช็คถึงกำหนดเงินในบัญชีของจำเลยไม่มี แต่จำเลยนำเงินสดไปชำระให้ผู้เสียหายแล้ว เมื่อผู้เสียหายนำเช็คไปเข้าบัญชีนั้น เงินของจำเลยก็ไม่มีอยู่ในธนาคาร ต่อจากนั้นศาลสืบพยานจำเลย เสร็จแล้วศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยยังไม่ชำระเงินให้ผู้เสียหายตามเช็คนั้น จำเลยออกเช็คให้ผู้เสียหายก่อนเช็คถึงกำหนด 2 วัน เมื่อเช็คถึงกำหนดผู้เสียหายนำเช็คไปขึ้นเงิน แต่เงินในบัญชีของจำเลยไม่มี จึงถือว่าจำเลยออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ใช้เงินตามเช็ค และออกเช็คมีจำนวนเงินสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันพึงให้ใช้เงินได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3(1)(3) จำคุกจำเลยหนึ่งเดือน
จำเลยอุทธรณ์เป็นประเด็น 3 ข้อว่า จำเลยได้ชำระเงินให้แก่ผู้เสียหายไปแล้ว การออกเช็คนี้เป็นการค้ำประกันเงินกู้ และอีกประเด็นหนึ่งว่า ผู้เสียหายได้รู้การกระทำผิดและร้องทุกข์เมื่อพ้นกำหนด 3 เดือน คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยออกเช็คให้ผู้เสียหายยึดถือเป็นการประกันเงินกู้ ถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะออกเช็คให้เพื่อการชำระหนี้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว
ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยรับในเบื้องต้นว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินผู้เสียหายไป 10,000 บาท และได้ออกเช็ครายพิพาทให้ผู้เสียหายไว้ เมื่อเช็คถึงกำหนด จำเลยไม่มีเงินในบัญชี และรับต่อไปว่าเมื่อผู้เสียหายนำเช็ครายพิพาทไปเข้าบัญชีธนาคาร จำเลยไม่มีเงินในบัญชีการกู้ยืมเงินรายนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
โจทก์นำสืบว่า วันจำเลยไปยืมเงินโจทก์นั้น จำเลยตกลงว่าจะยืมเงินเพียง 2 วันก็จะใช้ให้ โดยว่าจะได้เงินจากลูกสาวลูกเขยจึงได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินไว้ล่วงหน้า 2 วัน และตกลงว่าเมื่อเช็คถึงกำหนดให้ไปขึ้นเงินได้ เมื่อเช็คถึงกำหนด ผู้เสียหายไปสอบถามธนาคาร ธนาคารบอกว่าเงินของจำเลยไม่มี ผู้เสียหายมาติดต่อกับจำเลยก็ไม่พบตัว ต่อมาวันที่ 13 มีนาคม 2512 ผู้เสียหายนำเช็คไปเข้าบัญชีธนาคาร ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่า เงินในบัญชีมีไม่พอจ่าย ในวันที่ 3 เมษายน 2512 ผู้เสียหายจึงได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับจำเลย
จำเลยนำสืบว่า จำเลยไปกู้เงินผู้เสียหาย 9,500 บาท ผู้เสียหายคิดเอาดอกเบี้ย 500 บาท ได้เขียนเช็คเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2511 และลงวันสั่งจ่ายไว้เป็นวันที่ 20 ธันวาคม 2511 เพราะตกลงจะใช้คืนกันใน 1 เดือน เมื่อเช็คถึงกำหนด จำเลยได้นำเงินตามเช็ครายพิพาทไปชำระให้ผู้เสียหายแล้ว และผู้เสียหายมาบอกตอนหลังว่า ได้รับเงินตามเช็คและเผาเช็คนั้นทิ้งแล้ว ต่อมาผู้เสียหายกลับนำเช็ครายพิพาทนี้มาฟ้องอีก
คดีได้ความจากจำเลยแถลงรับและคู่ความนำสืบเช่นนี้ ปัญหาเบื้องแรกที่ว่า จำเลยได้ชำระเงินกู้นี้ให้ผู้เสียหายแล้วหรือไม่นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าที่จำเลยนำสืบว่าได้นำเงิน 10,000 บาทนี้ไปฝากไว้กับสามีผู้เสียหายเพื่อเป็นการชำระเงินกู้และมีนายเหล่ง ขาวสะอาด เป็นพยานเห็นจำเลยฝากเงินไว้กับสามีผู้เสียหาย หลักฐานอื่นของจำเลยไม่มี เป็นที่น่าสังเกตว่า จำเลยยังไม่ได้ชำระหนี้ตามเช็คที่ผู้เสียหายได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอื่นอยู่อีก 3,400 บาท โดยจำเลยรับจะผ่อนชำระให้ แต่ก็ยังไม่ชำระทั้งจำเลยยังได้ออกเช็คในการเล่นแชร์ให้ผู้เสียหายยึดถือไว้อีกหลายใบ นับว่าจำเลยยังมีหนี้ที่จะต้องใช้ให้ผู้เสียหายอยู่หลายจำนวน หากจำเลยมีเงินเพียงพอที่จะชำระให้ผู้เสียหาย จำเลยก็น่าจะนำเงินไปฝากธนาคารไว้เพื่อให้ผู้เสียหายไปขึ้นเงินได้ตามเช็คอันจะเป็นหลักฐานที่มั่นคงดีกว่า จำเลยก็ไม่กระทำกลับนำสืบว่าเพราะได้ตกลงกันไว้ว่าไม่ต้องนำเงินเข้าฝากธนาคารเสียเช่นนี้เป็นข้อแก้ตัวที่รับฟังไม่ได้ ศาลฎีกาเชื่อตามข้อนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยกู้ยืมเงินผู้เสียหายแล้วออกเช็คไว้ให้ และยังไม่ได้ชำระเงินให้ผู้เสียหาย
การที่จำเลยกู้ยืมเงินผู้เสียหาย และออกเช็คไว้ล่วงหน้าให้เป็นการชำระหนี้เงินกู้ยืม และตกลงกันว่าเมื่อเช็คถึงกำหนด ให้นำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคารได้เช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาจะใช้เช็คนั้นเป็นการชำระหนี้ มิใช่เพื่อประกันการกู้ยืม ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยออกเช็คเพื่อประกันการกู้ยืมโดยไม่มีเจตนาจะใช้เช็คเป็นการชำระหนี้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
คดีนี้จำเลยต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ให้จำเลยเสียด้วย ซึ่งศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินวันที่ 20 ธันวาคม 2511 เมื่อครบกำหนดสั่งจ่ายผู้เสียหายไปถามธนาคาร ธนาคารบอกว่าเงินในบัญชีจำเลยไม่มี วันที่ 13 มีนาคม 2512 ผู้เสียหายนำเช็คฉบับนี้ไปเข้าบัญชีธนาคาร ทางธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินต่อมาวันที่ 3 เมษายน 2512 ผู้เสียหายไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ระบุไว้ชัดว่า จะเป็นความผิดต่อเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน และจะถือว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินได้ ก็ต่อเมื่อได้มีการยื่นเช็คต่อธนาคารและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว เพียงแต่ผู้เสียหายไปถามธนาคาร ธนาคารบอกว่าเงินในบัญชีจำเลยไม่มี ยังถือไม่ได้ว่าธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ตามข้อเท็จจริงข้างต้นจึงต้องถือว่าธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2512 และเป็นวันเดียวกับที่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดนับถึงวันที่ 3 เมษายน 2512 อันเป็นวันร้องทุกข์ยังไม่เกินสามเดือน คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
จำเลยจะมีความผิดตามฟ้องหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยกู้ยืมเงินผู้เสียหายไปและออกเช็คให้ผู้เสียหายไว้เป็นการชำระหนี้ ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าไม่มีเงินฝากอยู่ในธนาคารเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเท่านั้นหาเป็นความผิดฐานออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้นไม่ เพราะตั้งแต่จำเลยออกเช็คฉบับนี้ตลอดมาจนถึงวันที่ผู้เสียหายนำเช็คไปขึ้นเงินธนาคาร จำเลยไม่มีเงินในบัญชีของจำเลยเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3(1) ส่วนกำหนดโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น