คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 296/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มีสัญชาติออสเตรเลีย จำเลยมีสัญชาติอเมริกัน ได้สมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายที่ประเทศไทย แต่ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องขอหย่ากับจำเลยนั้น ปรากฏว่าจำเลยได้ออกจากประเทศไทยไปก่อนแล้ว และไม่ได้เดินทางเข้ามาในประเทศอีก ทั้งปรากฏว่าจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ดังนี้ จำเลยย่อมมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรไม่ได้เสียแล้ว
เมื่อจำเลยไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย โจทก์ก็ฟ้องคดีขอหย่ากับจำเลยต่อศาลแห่งประเทศไทยไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสัญชาติออสเตรเลีย จำเลยมีสัญชาติอเมริกันได้สมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายที่ประเทศไทยและอยู่ในประเทศไทยจำเลยได้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงและอื่น ๆ จนโจทก์ไม่สามารถอยู่กินร่วมกับจำเลยฉันสามีภริยาต่อไปอีก จึงขอให้ศาลพิพากษาให้หย่าขาดจากกัน

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยไม่เคยมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยแต่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศออสเตรเลีย และจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้มีภูมิลำเนาในประเทศไทยด้วย เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยไม่ได้อยู่ในประเทศไทยแล้ว โดยออกจากประเทศไทยไปก่อน และไม่ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยอีกเลย โจทก์จะต้องฟ้องยังศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) เมื่อจำเลยไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยศาลแห่งประเทศไทยก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะพิจารณาคดีนี้ต่อไป มีคำสั่งให้จำหน่ายคดี

โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยมีภูมิลำเนาในประเทศไทย ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีขัดต่อวิธีพิจารณาความ

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยตามภูมิลำเนาของโจทก์ผู้เป็นสามี ชอบที่จะไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาพิพากษา พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาว่า จำเลยได้ถือภูมิลำเนาตามโจทก์ผู้เป็นสามี ขอให้รับฟ้องหรือให้สืบพยานหลักฐานในประเด็นที่ว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยหรือไม่เสียก่อน

ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นตามฎีกาโจทก์เฉพาะข้อที่ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ ว่า แม้จำเลยได้สมรสกับโจทก์ซึ่งเป็นคนต่างด้าวในประเทศไทย และโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยก็ตาม แต่จำเลยเป็นคนต่างด้าวคนละสัญชาติกับโจทก์และจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเมื่อจำเลยยังมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรไม่ได้เสียแล้ว จำเลยย่อมถือภูมิลำเนาของโจทก์ผู้เป็นสามีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 50 ไม่ได้อยู่ในตัว ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าจำเลยมีเจตนาจะถือเอาประเทศไทยเป็นภูมิลำเนาตามโจทก์ผู้เป็นสามีนั้น เห็นว่าจำเลยจะมีเจตนาประการใดก็ตาม ก็เป็นแต่เพียงเจตนา ยังเป็นผลขึ้นไม่ได้ ตราบเท่าที่จำเลยยังไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรหากยอมให้จำเลยมีภูมิลำเนาสุดแต่ใจของจำเลยย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง

เมื่อจำเลยไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย โจทก์ก็ฟ้องคดีนี้ต่อศาลแห่งประเทศไทยไม่ได้ จำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศอื่นใดไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share