คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1956/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

กำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/33(5)ที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 193/34(1) ต้องคำนึงถึงสถานะภาพของฝ่ายลูกหนี้เป็นสำคัญ คือหากลูกหนี้เป็นผู้อุปโภคหรือบริโภคเองแล้ว สิทธิเรียกร้องที่จะให้ลูกหนี้ชำระหนี้มีกำหนดอายุความสองปี แต่ถ้าลูกหนี้ได้ใช้ ประกอบธุรกิจของลูกหนี้ต่อไปอีกต่อหนึ่งแล้ว สิทธิเรียกร้องดังกล่าว มีกำหนดอายุความห้าปี เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้ซื้อแผ่นพลาสติก จากโจทก์เพื่อใช้เอง แต่ได้ใช้ประกอบกิจการค้าของจำเลยทั้งสอง เพื่อแสวงหากำไรต่อไปอีกทอดหนึ่ง สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมี อายุความห้าปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ระหว่างวันที่ 4 พฤษภาคม 2539 ถึงวันที่ 8 กรกฎาคม 2539 จำเลยทั้งสองสั่งซื้อแผ่นพลาสติกไปจากโจทก์หลายรายการรวมเป็นเงินค่าสินค้าทั้งสิ้น 620,823.07 บาท ต่อมาจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยบางประกอก จำนวน 8 ฉบับ ชำระหนี้ให้โจทก์ แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งแปดฉบับ จำเลยทั้งสองจึงต้องชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ 620,823.07 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 93,123.40 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 713,946.53 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 620,823.07 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องเคลือบคลุม ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจให้ฟ้องคดีเป็นลายมือชื่อปลอม จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์บางส่วนแล้ว หนี้ตามฟ้องจึงไม่ถูกต้อง และคดีโจทก์ขาดอายุความ เพราะฟ้องเมื่อพ้นกำหนดเวลา 2 ปี นับแต่วันครบกำหนดชำระเงินค่าสินค้า และเช็คตามฟ้องพ้นกำหนด 1 ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเรื่องอายุความว่า จำเลยทั้งสองต้องชำระค่าสินค้าให้โจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันได้รับสินค้าตามเอกสารหมาย จ. 2 ซึ่งปรากฏว่าโจทก์ส่งมอบสินค้าให้จำเลยทั้งสองครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2539 ครบกำหนดชำระราคาสินค้าในวันที่ 25 กรกฎาคม2539 แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2541 จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องราคาสินค้าจากจำเลยทั้งสองเกินกว่าสองปีนับแต่วันถึงกำหนดชำระคดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(1) กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทอื่นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เนื่องจากศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นพิพาทว่า (1) ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ (2) โจทก์มอบอำนาจให้นางบังอร ชมบุหรั่น ฟ้องคดีหรือไม่ (3) ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ (4) จำเลยทั้งสองเป็นหนี้เพียงใด ศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองมีหน้าที่นำสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานจำเลยทั้งสองนั้น จำเลยทั้งสองแถลงยอมรับว่า ค้างชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามฟ้องจริง และไม่ติดใจสืบพยานข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงรับฟังเป็นยุติตามทางนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการ ตามสำเนาเอกสารหมาย จ.1 เมื่อระหว่างวันที่ 4 พฤษภาคม 2539 ถึงวันที่ 18 กรกฎาคม 2539 จำเลยทั้งสองสั่งซื้อสินค้าแผ่นพลาสติกไปจากโจทก์หลายรายการรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 620,823.07 บาท และได้รับสินค้าครบถ้วนแล้ว ตามสำเนาใบกำกับภาษีและใบส่งมอบสินค้าเอกสารหมาย จ.2 โดยมีข้อตกลงว่า จำเลยทั้งสองต้องชำระค่าสินค้าแก่โจทก์เมื่อครบกำหนด 7 วัน นับแต่วันได้รับสินค้าแต่ละครั้ง ต่อมาจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารทหารไทย จำกัด สาขาย่อยบางประกอก จำนวน 8 ฉบับ รวมเป็นเงิน 412,286.22 บาท มอบให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าดังกล่าวบางส่วน แต่เมื่อโจทก์นำเช็คแต่ละฉบับที่ถึงกำหนดไปเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งแปดฉบับ โจทก์ยังไม่ได้รับชำระค่าสินค้าจากจำเลยทั้งสองเลย จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันชำระเงินค่าสินค้า 620,823.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้แก่โจทก์จนกว่าจะชำระเสร็จคิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2540 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 93,123.40 บาท

มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยชั้นนี้ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองสั่งซื้อแผ่นพลาสติกจากโจทก์เพื่อประกอบการค้าของจำเลยทั้งสองเอง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ค่าพลาสติกในกำหนดอายุความห้าปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) ประกอบมาตรา 193/33 (5) มิใช่มีกำหนดอายุความสองปีตามมาตรา 193/34 (1)ดังเช่นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 บัญญัติว่า”สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ ให้มีกำหนดอายุความสองปี (1) ผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรม ผู้ประกอบหัตถกรรมผู้ประกอบศิลปอุตสาหกรรม หรือช่างฝีมือ เรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ ค่าการงานที่ได้ทำหรือค่าดูแลกิจการของผู้อื่น รวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไป เว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง (2)… ” และมาตรา 193/33 บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ ให้มีกำหนดอายุความห้าปี (1)… (5) สิทธิเรียกร้องตามมาตรา 193/34 (1) (2) และ (5) ที่ไม่อยู่ในบังคับอายุความสองปี” เป็นบทบัญญัติถึงสิทธิเรียกร้องของผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรม ผู้ประกอบหัตถกรรม ผู้ประกอบศิลปอุตสาหกรรม หรือช่างฝีมือ ที่จะให้ลูกค้าหรือลูกหนี้ ชำระเงินแก่ตนในการประกอบกิจการของตนมีกำหนดอายุความซ้อนกันอยู่คือ กำหนดอายุความสองปีและกำหนดอายุความห้าปี ซึ่งสิทธิเรียกร้องของบุคคลดังกล่าวจะมีกำหนดอายุความสองปี หรือกำหนดอายุความห้าปี นั้น เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 193/34(1) แล้วย่อมเห็นได้ว่าต้องคำนึงถึงสถานะภาพของฝ่ายลูกหนี้เป็นสำคัญ คือ หากลูกหนี้เป็นผู้อุปโภคหรือบริโภคเองแล้ว สิทธิเรียกร้องที่จะให้ลูกหนี้ชำระหนี้คงมีกำหนดอายุความสองปีเท่านั้น แต่ถ้าลูกหนี้ได้ใช้ประกอบธุรกิจของลูกหนี้ต่อไปอีกต่อหนึ่งแล้วตามความหมายที่บัญญัติไว้ตอนท้ายของมาตรา 193/34 (1) ที่ว่า “…เว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง” สิทธิเรียกร้องที่จะให้ลูกหนี้ชำระหนี้ต้องมีกำหนดอายุความห้าปีตามมาตรา 193/33 (5) ซึ่งตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 ได้ความว่า จำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์ตามข้อ 15 ว่า ประกอบกิจการค้าพลาสติกหรือสิ่งอื่นซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ทั้งที่อยู่ในสภาพวัตถุดิบหรือสำเร็จรูป โดยนางบังอร ชมบุหรั่น พนักงานฝ่ายขายของโจทก์ได้เบิกความถึงจำเลยที่ 1 ว่า มีวัตถุประสงค์ซื้อและจำหน่ายแผ่นพลาสติก โดยจำเลยทั้งสองจะผลิตสินค้าที่เป็นวัตถุดิบตามคำสั่งของลูกค้า โดยได้ค่าตอบแทน ดังนี้จึงแสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองมิได้ซื้อแผ่นพลาสติกจากโจทก์เพื่อใช้เอง แต่จำเลยทั้งสองได้ใช้แผ่นพลาสติกที่ซื้อจากโจทก์มาประกอบกิจการค้าของจำเลยทั้งสองเพื่อแสวงหากำไรต่อไปอีกทอดหนึ่งสถานภาพของจำเลยทั้งสองในการซื้อแผ่นพลาสติกมาจากโจทก์จึงอยู่ในบังคับมาตรา 193/34(1) ตอนท้ายที่ว่า “…เว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง” สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในฐานะผู้ประกอบการค้าที่จะให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ค่าแผ่นพลาสติกที่ซื้อไป จึงไม่อยู่ในบังคับกำหนดอายุความสองปีตามมาตรา 193/34(1) ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย แต่อยู่ในบังคับกำหนดอายุความห้าปีตามมาตรา 193/33(5) ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามสำเนาใบกำกับภาษีและใบส่งของเอกสารหมาย จ.2 ว่า จำเลยทั้งสองสั่งซื้อแผ่นพลาสติกจากโจทก์ที่เป็นเหตุคดีนี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2539 และครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2539 โจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ค่าแผ่นพลาสติกเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม2541 จึงยังไม่พ้นกำหนดอายุความห้าปี ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น…”

พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 620,822.62 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2540 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ (ทั้งนี้ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องวันที่ 28 ธันวาคม 2541 ต้องไม่เกิน 93,123.40 บาท

Share