คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2618/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าที่พิพาทเดิมเป็นของนายจัน นางคร้ามยกให้บิดาโจทก์แล้วบิดายกที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ ต่อมาจำเลยซึ่งเป็นบุตรของนายจันนางคร้ามได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายจันนางคร้ามเพื่อเอาที่พิพาทมาแบ่งปันให้แก่ทายาท ดังนี้ที่จำเลยร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์แล้วหาจำเป็นต้องให้ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกและเข้าดำเนินการจัดการเกี่ยวกับที่พิพาทเสียก่อน จึงจะเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 1759 เป็นของนายจัน นางคร้ามและนางสุขถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน นายจัน นางคร้ามได้ยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่นายสงวนบิดาโจทก์ทั้งสอง ต่อมานายสงวนยกที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสองโจทก์ทั้งสองได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวเป็นส่วนสัดโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนายึดถือเป็นเจ้าของสืบต่อนายสงวนตลอดมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง ต่อมาจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายจัน นางคร้ามผู้ตาย เพื่อจัดการแบ่งทรัพย์มรดกที่ดินแปลงนี้เฉพาะส่วนของนายจัน นางคร้ามโจทก์ทั้งสองได้คัดค้านไว้ การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้พิพากษาแสดงว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 1759 ภายในกรอบสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสอง

จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นของนายจัน นางคร้ามผู้ตาย เป็นมรดกตกทอดมายังทายาทคือจำเลยกับพวก นายสงวนบิดาโจทก์ทั้งสองเป็นบุตรนายจันนางคร้าม เมื่อนายสงวนตาย โจทก์ทั้งสองมีสิทธิรับมรดกแทนที่นายสงวนไม่ปรากฏว่านายจัน นางคร้ามยกที่พิพาทให้นายสงวนมาก่อนที่พิพาทจึงเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งปันระหว่างทายาท โจทก์ทั้งสองและทายาทของนายจัน นางคร้ามทุกคนได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่พิพาทรวมกัน มิได้ล้อมรั้วแบ่งกันครอบครองเป็นส่วนสัด โจทก์ทั้งสองมีเจตนาโกงเอาที่พิพาทโดยไม่ยอมแบ่งให้ทายาทอื่น จำเลยจึงยื่นคำร้องต่อศาลขอจัดการมรดกของผู้ตาย โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง และตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทและให้โจทก์นำสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นตรวจสำนวนแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน จึงให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่าย

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ศาลยังไม่มีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกและจำเลยยังมิได้เข้าไปดำเนินการจัดการทรัพย์มรดกแต่อย่างใดจึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยให้สิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่าที่พิพาทเดิมเป็นของนายจัน นางคร้ามยกให้นายสงวนบิดาโจทก์ทั้งสองก่อนบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมบิดาได้ยกที่พิพาทให้โจทก์ทั้งสอง ต่อมาจำเลยซึ่งเป็นบุตรของนายจัน นางคร้ามได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายจัน นางคร้าม เพื่อเอาที่พิพาทมาแบ่งปันให้แก่ทายาทจำเลยให้การว่านายจัน นางคร้ามไม่ได้ยกที่พิพาทให้บิดาโจทก์ เมื่อนายจัน นางคร้ามตายที่พิพาทเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทนายจัน นางคร้ามทุกคน โจทก์ทั้งสองไม่ยอมแบ่งที่พิพาทให้ทายาทอื่นจำเลยจึงร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ดังนี้ที่จำเลยร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกเพื่อนำเอาที่ดินพิพาทมาแบ่งปันให้แก่ทายาทของนายจัน นางคร้ามดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์แล้วโจทก์จึงชอบที่จะเสนอคดีต่อศาลได้ หาจำเป็นต้องให้ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกและเข้าดำเนินการจัดการเกี่ยวกับที่พิพาทเสียก่อนจึงจะเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

พิพากษายืน

Share