แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 3 รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ตามสำเนาภาพถ่ายกรมธรรม์ประกันภัยท้ายฟ้อง จำเลยที่ 3 ให้การว่า สำเนาภาพถ่ายเอกสารดังกล่าวไม่มีการรับรองจากจำเลยที่ 3 จึงขอปฏิเสธว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยที่ 2 และไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน ถ้าฟังว่าจำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 ก็ไม่ต้องรับผิด เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้ปฏิบัติไปตามเงื่อนไขแห่งสัญญากรมธรรม์ประกันภัย กล่าวคือลูกจ้างของจำเลยที่ 2ขับขี่รถยนต์โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์ได้ตามกฎหมายจึงไม่ได้รับความคุ้มครองความเสียหาย ดังนี้ คำให้การของจำเลยที่ 3 จึงขัดกันเองและเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองคดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยที่ 2 หรือไม่และกรณีเช่นนี้ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของสำเนาเอกสารดังกล่าวไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.4ม-7885 เพื่อรับพนักงานของจำเลยที่ 2 ไปส่งโรงงานของจำเลยที่ 2 อันเป็นการกระทำในทางการที่จ้าง ด้วยความประมาทเลินเล่อถอยหลังชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายทั้งสิ้นเป็นเงิน88,737 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวให้แก่โจทก์จำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นลูกจ้างตำแหน่งหน้าที่ขับรถของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และไม่ได้ขับด้วยความประมาทเลินเล่อ ความประมาทเกิดจากทางฝ่ายโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่เสียหายดังฟ้อง และจำเลยที่ 3 ไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้จากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 เคยรับประกันภัยไว้แต่สัญญากรมธรรม์ประกันภัยหมดอายุแล้วลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ไปโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ขับได้ตามกฎหมาย เป็นการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งสัญญากรมธรรม์ประกันภัยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองความเสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์รวมทั้งสิ้น 85,737 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 74,263 บาท
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์เก๋งยี่ห้อซีตรองคันหมายเลขทะเบียน ก.ท.7-9778 เหตุที่เกิดขึ้นเป็นความประมาทของจำเลยที่ 1ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ในทางการที่จ้าง และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 3 รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่ 2ตามสำเนาภาพถ่ายกรมธรรม์ประกันภัยท้ายฟ้อง จำเลยที่ 3 ให้การว่าสำเนาภาพถ่ายเอกสารดังกล่าวไม่มีการรับรองจากจำเลยที่ 3 จึงขอปฏิเสธว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยที่ 2 และไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกันถ้าฟังว่าจำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้จากจำเลยที่ 2 จำลยที่ 3ก็ไม่ต้องรับผิดทั้งนี้เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งสัญญากรมธรรม์ประกันภัย กล่าวคือลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับขี่รถยนต์โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์ได้ตามกฎหมาย จึงไม่ได้รับความคุ้มครองความเสียหาย ดังนี้คำให้การของจำเลยที่ 3จึงขัดกันเองและเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยที่ 2 หรือไม่ และกรณีเช่นนี้ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3ได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของสำเนาเอกสารดังกล่าวไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 และข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสามนำสืบพยานไม่ได้โต้เถียงฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุจากจำเลยที่ 2 ไว้ตามสำเนาภาพถ่ายกรมธรรม์ประกันภัยท้ายฟ้องจริง ส่วนค่าเสียหายนั้นวินิจฉัยให้จำเลยทั้งสามต้องรับผิดเพียง 31,420 บาท
พิพากษาแก้ ให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายจำนวน 31,420 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย