คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2171/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยซื้อรถพิพาทจากโจทก์โดยมีเงื่อนไข กรรมสิทธิ์ในรถดังกล่าวยังไม่โอนไปยังจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 459 เมื่อจำเลยผิดสัญญาซื้อขายโจทก์บอกเลิกสัญญา แล้ว โจทก์และจำเลยย่อมกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยต้องคืนรถพิพาทให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยไม่คืน โจทก์จึงชอบ ที่จะติดตามเอาคืนในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงไม่มีอายุความกรณีหาใช่เป็นเรื่องโจทก์ในฐานะพ่อค้าฟ้องเรียกเอาค่าที่ ได้ส่งมอบของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจากโจทก์ 1 คันราคา 94,000 บาท ชำระเงินในวันทำสัญญาส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือผ่อนชำระ จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อ ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองคืนรถ หรือใช้ราคารถพร้อมดอกเบี้ย และค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาตามฟ้องจริง แต่เป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายและส่งมอบรถยนต์คันพิพาทให้โจทก์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหาย ส่งมอบรถยนต์คันพิพาทให้โจทก์ หากส่งมอบไม่ได้ให้ใช้ราคา ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ซื้อรถยนต์บรรทุกคันพิพาทจากโจทก์โดยมีเงื่อนไข กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันดังกล่าวยังไม่โอนไปยังจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 โจทก์จึงยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกคันพิพาทอยู่ และเมื่อจำเลยที่ 1ผิดสัญญาซื้อขาย โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์และจำเลยย่อมกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยที่ 1 ต้องคืนรถยนต์บรรทุกคันพิพาทให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่คืนให้โจทก์ โจทก์จึงชอบที่จะติดตามเอารถยนต์บรรทุกคันพิพาทคืนในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์จากจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 หากจำเลยที่ 1 ไม่คืนก็ต้องใช้ราคารถยนต์บรรทุกคันพิพาท จึงไม่มีอายุความกรณีมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ในฐานะพ่อค้าเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)

พิพากษายืน

Share