คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2423/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดในเขตเทศบาลอยู่ในบริเวณที่จะต้องถูกเวนคืนเพื่อสร้างและขยายทางหลวงฯตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอเมืองขอนแก่น ฯลฯ พ.ศ. 2505 เทศบาลฯ จำเลยได้เข้ายึดถือครองเอาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตลอดมา แต่หาได้ชดใช้เงินค่าเวนคืนที่ดินให้แก่โจทก์ไม่ ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ขอให้เทศบาลจำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ทางพิจารณาได้ความว่า การดำเนินการสำรวจปักแนวเขตถนนที่จะขยายตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินฯ พ.ศ. 2505 ดังกล่าวเป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกามอบหมายให้นายช่างเทศบาลฯ พนักงานของจำเลยไปดำเนินการสำรวจไว้ จำเลยมิได้มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรงแต่อย่างใดทั้งการสำรวจปักแนวเขตก็เป็นการปฏิบัติตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2482 มาตรา 44 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2497 มาตรา 12 เท่านั้น มิใช่เห็นการเข้าไปครอบครอง เมื่อต่อมามิได้มีพระราชบัญญัติเวนคืนจนล่วงพ้นกำหนดอายุในพระราชกฤษฎีกาการสำรวจดังกล่าวก็เป็นอันสิ้นสภาพไปในตัว กรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองในที่พิพาทจึงยังคงอยู่กับโจทก์ตลอดมา เมื่อโจทก์ไม่มีพยานนำสืบว่าจำเลยได้เข้าไปเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองของโจทก์ คดีก็ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 482 ในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่น และอยู่ในบริเวณที่จะต้องถูกเวนคืนเพื่อสร้างและขยายทางหลวงฯ ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. 2505 ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นได้มีหนังสือแจ้งไปยังโจทก์ว่า ได้สั่งให้นายช่างเทศบาลเมืองขอนแก่นไปทำการตรวจสอบปักหลักแนวสำรวจเขตถนนไว้เป็นหลักฐาน และต่อมานายช่างเทศบาลได้ไปทำการรังวัดตรวจสอบที่ดิน กำหนดบริเวณที่จะเวนคืนเป็นเนื้อที่234 ตารางเมตร โจทก์จึงมิได้เข้าเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวตลอดมาถือได้ว่าจำเลยได้เข้ายึดถือครองเอาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตลอดมาแต่หาได้ชดใช้เงินค่าเวนคืนที่ดินให้โจทก์ไม่ จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยใช้เงินค่าที่ดิน 187,500 บาท พร้อมทั้งค่าเสียหาย 41,200 บาทและดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีหรือมิฉะนั้นก็ให้จำเลยส่งมอบที่ดินคืนในสภาพเรียบร้อย พร้อมทั้งชำระค่าเสียหาย 41,200 บาท

จำเลยให้การและเพิ่มเติมคำให้การว่า การสำรวจซึ่งจะขยายถนนตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนเป็นเพียงสำรวจตามพระราชกฤษฎีกาเพื่อออกพระราชบัญญัติเวนคืน โจทก์ยังไม่มีสิทธิได้ค่าทดแทน จำเลยไม่เคยเข้าไปทำการใด ๆ ในที่โจทก์ และจำเลยไม่มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าที่ดินหรือค่าเสียหาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่จำเลยเข้าปักแนวเขตกันที่พิพาทไว้เพื่อขยายถนนและห้ามมิให้โจทก์เข้าเกี่ยวข้องนั้น ถือได้ว่าจำเลยได้เข้าครอบครองแล้วการครอบครองช่วงแรก 5 ปี ไม่เป็นละเมิด เพราะพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินฯ พ.ศ. 2505 ให้อำนาจไว้แต่ช่วงหลัง5 ปี ไม่มีกฎหมายคุ้มครอง เป็นการละเมิดพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 19,239.99 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยมิได้เข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทโจทก์ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และครอบครองที่พิพาทตลอดมา พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การดำเนินการสำรวจปักแนวเขตถนนที่จะขยายตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนนี้เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกามอบหมายให้นายช่างเทศบาลฯ พนักงานของจำเลยไปดำเนินการสำรวจไว้ จำเลยมิได้มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรงแต่อย่างใด ทั้งการสำรวจปักแนวเขตดังกล่าวก็เป็นการปฏิบัติตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2482 มาตรา 44แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2497 มาตรา 12 มิใช่เป็นการเข้าไปครอบครองเมื่อต่อมามิได้มีพระราชบัญญัติเวนคืนจนล่วงพ้นกำหนดอายุในพระราชกฤษฎีกาการสำรวจดังกล่าวก็เป็นอันสิ้นสภาพไปในตัว กรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองในที่พิพาทจึงยังคงอยู่กับโจทก์ตลอดมา ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่มีพยานนำสืบว่าจำเลยได้เข้าไปเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองของโจทก์ คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์

พิพากษายืน

Share