แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องที่ขอให้เพิกถอนนิติกรรมและให้โอนที่พิพาท(ที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3) กลับเป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของตามเดิม เป็นฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทนั้นด้วยจำเลยให้การต่อสู้ว่าซื้อโดยสุจริตและได้ครอบครองเป็นเจ้าของด้วยความสงบเปิดเผยตลอดมา ได้กรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองตามกฎหมายแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นข้อต่อสู้เรื่องกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนที่พิพาทโดยตรง ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติว่าจำเลยครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมากับได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้วนับถึงวันฟ้องเกินกว่า 1 ปี. โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเอาคืนการครอบครองได้อีกต่อไป เพราะสิทธิครอบครองที่พิพาทตกได้แก่จำเลยโดยเด็ดขาดแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 24 ไร่ 2 งาน 24 ตารางวา จำเลยทั้งสองได้สมคบกันปลอมหนังสือมอบอำนาจลงลายมือชื่อโจทก์ปลอมมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 แบ่งขายที่ของโจทก์แปลงนี้เนื้อที่ 85 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 2 แล้ว ต่อมาได้สมคบกันปลอมหนังสือมอบอำนาจขึ้นอีกฉบับหนึ่ง เป็นโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมขายฝากที่ดินที่เหลือให้แก่จำเลยที่ 2 จนเจ้าพนักงานหลงเชื่อได้ทำนิติกรรมและจดทะเบียนซื้อขายและขายฝากให้ โจทก์ทราบเหตุจึงแจ้งความ และพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลจังหวัดนครพนม จำเลยที่ 1 รับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษ คดีถึงที่สุดแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายและขายฝากทั้งสองฉบับ ให้ทรัพย์พิพาทคืนสู่สภาพเดิม โดยโอนกลับมาเป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของตามเดิมหากไม่สามารถปฏิบัติได้ ให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา และให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 2,000 บาท กับต่อปีละ 1,000 บาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ห้ามเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 รับมอบอำนาจจากโจทก์โดยชอบทำการขายและขายฝากที่พิพาทแก่จำเลยที่ 2 ได้รับเงินไปครบถ้วนสัญญาขายฝากพ้นกำหนดไถ่ถอนแล้ว จำเลยที่ 2 ได้ซื้อมาโดยสุจริตมีค่าตอบแทน ได้ครอบครองมาโดยสงบ เปิดเผย แสดงตนเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวได้กรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์ใช้สิทธิฟ้องไม่สุจริต ไม่เสียหายตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 1 ปลอมใบมอบอำนาจทั้งสองฉบับนิติกรรมซื้อขายและขายฝากไม่สมบูรณ์ แต่ข้อเท็จจริงฟังได้แน่ชัดว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่านับถึงวันฟ้องเกินกว่า 1 ปี ขาดอายุความฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 2 กรณีเป็นเรื่องสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ชำระได้จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินโจทก์ 12,000 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับศาลชั้นต้น เว้นแต่ข้อที่ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินราคาที่ดินนั้นเกินคำขอ จึงพิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ต้องชำระราคาที่ดินแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ต้องถืออายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 จึงไม่ขาดอายุความกรณีของจำเลยที่ 2 เป็นการครอบครองโดยไม่มีสิทธิ มิใช่แย่งการครอบครอง ทั้งไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้และฟ้องแย้ง จึงไม่ชอบที่จะอ้างอายุความมาเป็นมูลยกฟ้อง และวินิจฉัยถึงสิทธิในที่พิพาท
ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 ได้ปลอมหนังสือมอบอำนาจไปทำนิติกรรมขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) ของโจทก์บางส่วนให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2508 ต่อมาได้ปลอมหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 19 สิงหาคม 2508 ไปทำนิติกรรมขายฝากที่พิพาทที่เหลือจากการแบ่งขายแล้วนั้นแก่จำเลยที่ 2 อีก จำเลยที่ 2 รับโอนโดยสุจริต มิได้ร่วมรู้เห็นในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ด้วย และได้เข้าครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทบางส่วนนับแต่วันซื้อ และครอบครองที่พิพาททั้งแปลงหลังพ้นกำหนดไถ่คืนแล้วตลอดมา เดือนกุมภาพันธ์ 2511 โจทก์ถูกภรรยาจำเลยที่ 2 ห้ามมิให้เข้าไปเก็บพืชผลในที่พิพาทอ้างว่าซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 และได้จดทะเบียนการได้มาทางนิติกรรมกับพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วเดือนเมษายน 2511 โจทก์จึงร้องทุกข์เจ้าพนักงานให้ดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่ 1 ฐานปลอมเอกสาร ศาลจังหวัดนครพนมพิพากษาลงโทษจำคุก คดีถึงที่สุดแล้ว ครั้นวันที่ 15 ตุลาคม 2512 โจทก์จึงยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ที่พิพาทเป็นที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) โจทก์ผู้มีชื่อถือสิทธิคงมีแต่เพียงสิทธิครอบครองและที่ดินซึ่งมีแต่เพียงสิทธิครอบครองนี้ ผู้ที่จะได้สิทธิจะต้องเป็นผู้ยึดถือที่ดินนั้น หรือมีผู้ยึดถือแทน หากขาดการยึดถือโดยมีผู้แย่งครอบครอง ผู้ที่ยึดถือเพื่อตนโดยเข้าแย่งการครอบครองย่อมได้สิทธิครอบครอง กฎหมายได้กำหนดทางแก้ไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ให้ผู้ถูกแย่งการครอบครองฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้นเสียภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง ฟ้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนนิติกรรมและให้โอนที่พิพาทกลับเป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของตามเดิมเป็นฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้นด้วย จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่าซื้อโดยสุจริต และได้ครอบครองเป็นเจ้าของด้วยความสงบเปิดเผยตลอดมา ได้กรรมสิทธิ์ครอบครองตามกฎหมายแล้วโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นข้อต่อสู้เรื่องกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนที่พิพาทโดยตรง ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติว่าจำเลยที่ 2 ครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมากับได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์มาแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2511 นับถึงวันโจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 1 ปี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเอาคืนการครอบครองได้อีกต่อไป เพราะสิทธิครอบครองที่พิพาทตกได้แก่จำเลยโดยเด็ดขาดแล้ว กรณีเป็นเรื่องโต้แย้งเรื่องอำนาจฟ้อง เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทได้แล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยในเรื่องจะให้เพิกถอนนิติกรรมอันเกี่ยวกับที่พิพาทอีกต่อไป
พิพากษายืน