แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์ไว้ตาม สำเนากรมธรรม์ประกันภัยท้ายฟ้อง จำเลยให้การว่ารถยนต์คันนี้ จะได้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์หรือไม่ จำเลยไม่รับรองมีความหมายว่าจำเลยไม่รับรองว่ามีการประกันภัยรถยนต์ แต่จำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย
การนำสืบพยานบุคคลยืนยันข้อเท็จจริงที่ว่ามีการประกันภัยตามสำเนากรมธรรม์ประกันภัยท้ายฟ้อง ไม่ใช่เป็นการสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร และเมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านความถูกต้องแท้จริงของสำเนากรมธรรม์ประกันภัยท้ายฟ้อง แม้โจทก์ไม่ส่งต้นฉบับเอกสารก็รับฟังในข้อนี้ได้ เมื่อฟังว่าโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยและได้เสียค่าซ่อมแซมรถยนต์ที่เอาประกันภัยแล้ว โจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยย่อมมีอำนาจฟ้องผู้กระทำละเมิดต่อรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้ได้
โจทก์บรรยายฟ้องถึงความเสียหายของรถยนต์ว่า โจทก์ต้องซ่อมแซมมีรายละเอียดของสิ่งของและราคาสิ่งของที่ต้องซ่อมแซมตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องถือว่าสำเนาเอกสารดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง และได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสถานแห่งข้อหาว่ารถยนต์มีชิ้นส่วนอะไรบ้างที่เสียหายราคาเท่าใด เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนก.ท.ก.1263 ของนายโนมูโอะ มูราอิ เป็นเงิน 40,000 บาท ตามสำเนากรมธรรม์ประกันภัยท้ายฟ้องเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2510 จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถคันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ข.9636 ของจำเลยที่ 2ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถด้วยความประมาท เป็นเหตุให้รถคันที่จำเลยที่ 1 ขับพุ่งเข้าชนรถคันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ก.1263เสียหาย มีรายการตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมาย 3 โจทก์ได้ซ่อมรถและเสียค่าซ่อมไปแล้ว 10,000 บาท ตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมาย 4โจทก์จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิจากเจ้าของรถ ได้ทวงถามให้จำเลยที่ 2ชดใช้ค่าเสียหายแล้ว จำเลยที่ 2 เพิกเฉย ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันชำระเงิน 10,000 บาทให้โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2510 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 500 บาท และชำระดอกเบี้ยสำหรับเงิน 10,000 บาทร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
ระหว่างส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้อง โจทก์ขอถอนฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 เหตุที่รถชนกันเกิดขึ้นเพราะความประมาทของคนขับรถหมายเลขทะเบียน ก.ท.ก.1263รถยนต์คันดังกล่าวเอาประกันภัยไว้กับโจทก์หรือไม่ จำเลยที่ 2 ไม่รับรอง และไม่รับรองว่าโจทก์ได้เสียค่าซ่อมแซมรถไปตามฟ้อง โจทก์ไม่มีสิทธิจะได้รับช่วงสิทธิค่าเสียหายอย่างมากไม่เกิน 500 บาท และตัดฟ้องว่าโจทก์บรรยายความเสียหายไม่แจ้งชัด เอกสารท้ายฟ้องหมาย 3 มิใช่คำฟ้อง จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวนตามฟ้องแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์นั้น โจทก์ฟ้องว่าโจทก์รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ก.1263ไว้ตามสำเนากรมธรรม์ประกันภัยยานยนต์ท้ายฟ้อง จำเลยให้การว่ารถยนต์คันนี้จะได้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์หรือไม่ จำเลยที่ 2 ไม่รับรอง คำให้การของจำเลยเช่นนี้มีความหมายว่า จำเลยที่ 2 ยังไม่รับรองว่ามีการประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ก.1263 โจทก์นำนายโชติผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทโจทก์เข้าเบิกความรับรองว่า มีการประกันภัยซึ่งมีสำเนาอยู่ที่โจทก์และมีข้อความตามสำเนากรมธรรม์ท้ายฟ้องหรือเอกสารหมาย จ.8 แต่ต้นฉบับอยู่ที่นายโนมูโอะ มูราอิ เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงที่ว่ามีการประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ก.1263 หาใช่โจทก์สืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสารไม่ จำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสารกรมธรรม์ประกันภัยสำเนาเอกสารหมาย จ.8 แม้โจทก์ไม่ส่งต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัยฉบับที่กล่าว ก็รับฟังในข้อนี้ได้ จึงฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ก.1263 และโจทก์สืบได้ว่าเสียค่าซ่อมรถยนต์คันนี้แล้ว โจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิจากนายโนมูโอะ มูราอิ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2
ข้อตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่บรรยายความเสียหายของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ก.1263 มาโดยชัดแจ้งนั้น ข้อนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ต้องซ่อมรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ก.1263 มีรายละเอียดของสิ่งของและราคาสิ่งของที่ต้องซ่อมตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมาย 3เห็นว่าสำเนาเอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง และได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่ารถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ก.1263มีชิ้นส่วนอะไรบ้างที่เสียหาย และมีราคาเท่าใด ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วยบทบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรค 2 แล้ว
พิพากษายืน