แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้ร้องปลูกบ้านลงในที่สาธารณะซึ่งผู้ร้องมีแต่เพียงสิทธิครอบครองนั้นผู้ร้องก็คงมีแต่เพียงสิทธิครอบครองบ้านเท่านั้น (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 6/2515)
ดังนี้ เมื่อผู้ร้องขายบ้านให้ผู้อื่นไปแม้จะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ย่อมฟังได้ว่าผู้ร้องได้สละและโอนการครอบครองที่ดินและบ้านให้ผู้อื่นไปแล้ว ถือว่าการครอบครองของผู้ร้องสิ้นสุดลงแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ (บ้าน) ที่ถูกยึด (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2515)
ย่อยาว
คดีนี้ เนื่องจากโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านแบบบังกาโลชั้นเดียวหนึ่งหลังซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินสาธารณะ อ้างว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 2
ชั้นแรกมีนายเรวัตร ยมรักษ์ ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าบ้านพิพาทเดิมเป็นของนายจำเนียร บุญมั่น นายจำเนียรขายให้นางสาวหนูบายยมรักษ์ นางสาวหนูบายขายต่อให้นายเรวัตร ไม่ใช่บ้านของจำเลยที่ 2ขอให้ถอนการยึด
โจทก์ให้การว่า บ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าบ้านพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์นายเรวัตรผู้ร้องซื้อจากนางสาวหนูบายโดยมิได้จดทะเบียนซื้อขายกันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตกเป็นโมฆะ นายเรวัตรผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาท ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขัดทรัพย์ จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีร้องขัดทรัพย์ดังกล่าวถึงที่สุด
นายจำเนียร มั่นนุช จึงร้องขัดทรัพย์เป็นคดีนี้ว่า นายจำเนียรผู้ร้องเป็นเจ้าของบ้านพิพาท ผู้ร้องได้ขายบ้านพิพาทให้กับนางสาวหนูบาย นางสาวหนูบายได้ขายต่อนายเรวัตรโดยมิได้จดทะเบียนการซื้อต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งสองคราว จึงตกเป็นโมฆะ บ้านพิพาทจึงตกเป็นของผู้ร้องเจ้าของเดิม แม้โจทก์จะเถียงว่าบ้านพิพาทผู้ร้องได้ขายให้จำเลยที่ 2 แต่การซื้อขายมิได้ทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน ย่อมตกเป็นโมฆะเช่นกัน บ้านพิพาทจึงเป็นของผู้ร้องไม่ใช่ของจำเลยที่ 2 ขอให้ศาลสั่งถอนการยึดบ้านพิพาท
โจทก์ให้การว่า แม้จำเลยที่ 2 ซื้อบ้านพิพาทโดยไม่ได้จดทะเบียนการซื้อขาย ตกเป็นโมฆะตามกฎหมายก็จริง แต่จำเลยที่ 2 ซื้อมาแล้วได้ใช้สิทธิครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลานานถึง 5 ปีเศษ และได้แสดงตนเป็นเจ้าของโดยเปิดเผย ได้ทำการต่อเติมบ้านพิพาท ผู้ร้องเมื่อขายบ้านพิพาทให้จำเลยที่ 2 แล้ว ได้สละการครอบครองมิได้เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไป บ้านพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยที่ 2 การที่ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์เข้ามาเป็นแผนฉ้อโกงของจำเลยที่ 2 ที่ร่วมกันคบคิดกับผู้ร้องเพื่อฉ้อโกงโจทก์ ขอให้ยกคำร้อง
วันนัดชี้สองสถาน โจทก์แถลงรับว่าการซื้อขายระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 มิได้ทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่แต่เป็นการขายบ้านพิพาทกันเองโดยส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 ได้ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของโดยเปิดเผยเป็นเวลาเกือบ6 ปีแล้ว ผู้ร้องมิได้เข้ามาเกี่ยวข้องในบ้านพิพาทอีกเลย จำเลยที่ 2 ได้ทำการต่อเติมบ้านพิพาทหลังจากรับมอบการครอบครองจากผู้ร้องแล้วและโจทก์แถลงรับต่อไปว่า ผู้ร้องมิได้ขายบ้านพิพาทโดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนให้ผู้ใดเลย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำเป็นต้องสืบพยานจึงสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้ววินิจฉัยว่า บ้านพิพาทเป็นของผู้ร้อง แม้ข้อเท็จจริงต่อมาไม่ตรงกัน คือ ผู้ร้องขายบ้านพิพาทให้นางสาวหนูบาย นางสาวหนูบายขายต่อให้นายเรวัตรตามคำร้องขัดทรัพย์หรือผู้ร้องขายบ้านพิพาทให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีของนางสาวหนูบายดังคำให้การของโจทก์ ก็มิใช่เป็นเรื่องสำคัญเพราะการซื้อขายบ้านพิพาทโดยมิได้มีเจตนารื้อไป เป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เมื่อมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะ กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ร้องอยู่ตามเดิม มิได้โอนไปยังผู้ซื้อ แม้จำเลยที่ 2 ได้ครอบครองบ้านพิพาทเป็นเวลาเกือบ 6 ปี โดยสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของแล้วทำการต่อเติมบ้านพิพาทดังที่โจทก์ต่อสู้ไว้ในคำให้การก็ดี ก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาท เพราะมิได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์อยู่มีอำนาจร้องขัดทรัพย์ได้ การกระทำของผู้ร้องจึงมิใช่เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตดังที่โจทก์ฟ้อง มีคำสั่งให้ปล่อยทรัพย์รายพิพาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า บ้านพิพาทปลูกอยู่ในที่ดินมือเปล่า จำเลยที่ 2ใช้สิทธิครอบครองบ้านพิพาทซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินนี้ โดยสงบเปิดเผย และแสดงการเป็นเจ้าของมาเกิน 1 ปีแล้ว ย่อมได้สิทธิครอบครอง
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องปลูกบ้านรายพิพาทลงในที่สาธารณะซึ่งผู้ร้องมีแต่เพียงสิทธิครอบครอง ปัญหาว่าบ้านพิพาทดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องหรือไม่ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้โดยที่ประชุมใหญ่แล้วเห็นว่า การที่ผู้ร้องปลูกบ้านพิพาทลงในที่สาธารณะเช่นนี้ ผู้ร้องก็คงมีแต่เพียงสิทธิครอบครองบ้านพิพาทเท่านั้น ดังนั้น ตามคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องอ้างว่าได้ขายบ้านพิพาทให้กับนางสาวหนูบาย นางสาวหนูบายขายต่อให้นายเรวัตรไปจึงฟังได้ว่าผู้ร้องสละการครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทให้บุคคลเหล่านั้นไปแล้ว แม้การซื้อขายจะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นโมฆะก็ตามแต่บ้านพิพาทนั้นผู้ร้องมีแต่สิทธิครอบครอง เมื่อผู้ร้องได้สละและโอนการครอบครองให้แก่นางสาวหนูบายแล้ว การครอบครองของผู้ร้องย่อมสิ้นสุดลง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์