คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 887/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาขอให้ริบของกลางโดยกล่าวขึ้นมาลอย ๆ ไม่ปรากฏว่าเป็นของกลางรายใด และไม่แสดงเหตุแห่งข้อเท็จจริงว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อนี้ไม่ชอบไม่ควรประการใด เป็นฎีกาที่ไม่ถูกต้อง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดต้องกันมาแล้วว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็นชัดว่าจำเลยกระทำการขนย้ายข้าวเพื่อจะนำออกไปนอกราชอาณาจักร ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว พ.ศ. 2489 มาตรา 13 ทวิ(2) ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2489 มาตรา 6 จำคุก 5 ปี การที่โจทก์ฎีกาว่าพยานหลักฐานและพฤติการณ์แห่งคดีแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าจะขนย้ายข้าวของกลางออกไปนอกราชอาณาจักรต้องลงโทษด้วยมาตรา 13ทวิ(1) แห่งพระราชบัญญัติที่กล่าวข้างต้นเป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำผิดของจำเลยที่ศาลล่างทั้งสองศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดมาแล้ว ต้องห้ามมิให้ฎีกา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทั้งสามกับพวกอีกหลายคนร่วมกันขนย้ายข้าวสารชนิด 25 เปอร์เซ็นต์ บรรจุกระสอบป่าน 206 กระสอบ มีปริมาณข้าว 20,600 กิโลกรัม ข้าวเหนียวบรรจุกระสอบป่าน 35 กระสอบ มีปริมาณข้าว 3,500 กิโลกรัม โดยร่วมกันใช้เรือยนต์และเรือฉลอมรวม 6 ลำขนย้ายไปทางลำน้ำซึ่งติดต่อกับชายแดนต่างประเทศ คือประเทศมาเลเซีย จากท้องที่อำเภอเมืองนราธิวาส ผ่านเข้าไปในท้องที่ตำบลมะรือโบตะวันออก อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส และท้องที่ตำบลบางขุนทอง อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส อันเป็นเขตควบคุมห้ามขนย้ายข้าวแต่ละเขตเพื่อออกนอกราชอาณาจักรไปยังประเทศมาเลเซียทางลำน้ำชายแดนเขตติดต่อกับอำเภอตากใบ โดยจำเลยกับพวกมิได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการสำรวจและห้ามกักกันข้าว หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการสำรวจและห้ามกักกันข้าวซึ่งจำเลยได้ทราบประกาศแล้ว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว พ.ศ. 2489 มาตรา 3, 10,13, 13 ทวิ พระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2489 มาตรา 5, 6 พระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2503 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83ประกาศคณะกรรมการสำรวจและห้ามกักกันข้าวฉบับที่ 77 พ.ศ. 2506 ลงวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2506 ฉบับที่ 78 พ.ศ. 2508 ลงวันที่1 ตุลาคม 2508 ฉบับที่ 79 พ.ศ. 2509 ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2509ฉบับที่ 80 พ.ศ. 2509 ลงวันที่ 27 กันยายน 2509 พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 5, 6, 7, 8, 9ริบเงินที่ขายทอดตลาดข้าวสารของกลางทั้งหมดกับเรือยนต์และเรือฉลอม6 ลำของกลางและจ่ายสินบนและเงินรางวัลแก่ผู้นำจับและเจ้าพนักงานผู้จับกุม

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว พ.ศ. 2489 มาตรา 3, 10,13, 13 ทวิ (2) พระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2489 มาตรา 5, 6 พระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2503 มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ประกอบด้วยประกาศคณะกรรมการสำรวจและห้ามกักกันข้าวที่โจทก์อ้างมาในฟ้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 13 ทวิ (2) วางโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 คนละ 5 ปี ริบเงินที่ขายทอดตลาดข้าวของกลาง และให้ริบเรือยนต์แสงแก้วกับเรือฉลอมและเรือกอและ 6 ลำ จ่ายสินบนและรางวัลแก่ผู้นำจับและเจ้าพนักงานผู้จับตามกฎหมายสำหรับจำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 และขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 13 ทวิ (1) แห่งพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าวพ.ศ. 2489 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม ตามพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2489 มาตรา 6 และบทกฎหมายที่โจทก์อ้างทุกประการ

จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องและคืนเรือแสงแก้วแก่จำเลยที่ 1

ศาลอุทธรณ์ปรึกษาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าได้กระทำผิดด้วย พิพากษาแก้ ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ด้วย คืนเรือของกลาง 5 ลำให้เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วย และขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในบทหนักฐานขนย้ายข้าวออกนอกเขตซึ่งคณะกรรมการประกาศกำหนดเพื่อนำออกนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว พ.ศ. 2489 มาตรา 13 ทวิ (1) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2489มาตรา 6 กับให้ริบของกลาง

ศาลฎีกาวินิจฉัยคดีสำหรับจำเลยที่ 2 เห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบยังฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่ได้

ข้อที่โจทก์ฎีกาขอให้ริบของกลางนั้น โจทก์ฎีกาขึ้นมาลอย ๆไม่ปรากฏว่าเป็นของกลางรายใด และไม่แสดงเหตุแห่งข้อเท็จจริงว่าคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในข้อนี้ไม่ชอบไม่ควรประการใด เป็นฎีกาที่ไม่ถูกต้อง จึงไม่รับวินิจฉัย

ส่วนข้อฎีกาของโจทก์ที่ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในบทหนักตามพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว พ.ศ. 2489 มาตรา 13 ทวิ (1)แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2489 มาตรา 6 นั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ห้าปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 และคดีนี้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยชี้ขาดต้องกันมาแล้วว่า ความผิดฐานพยายามนำข้าวสารออกไปนอกราชอาณาจักรนั้น โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็นชัดว่าจำเลยกระทำการขนย้ายข้าวเพื่อจะนำออกไปนอกราชอาณาจักร ลงโทษจำเลยยังไม่ได้ การที่โจทก์ฎีกาว่าข้าวของกลางที่ถูกจับกุมมีจำนวนมาก การขนย้ายกระทำในเวลากลางคืนและไปถูกจับเมื่อเวลา 04.00 นาฬิกา ถ้าไม่ถูกจับเสียก่อน จำเลยก็สามารถแล่นเรือไปถึงเขตแดนประเทศมาเลเซียได้ภายในครึ่งชั่วโมงก่อนวันรุ่งขึ้น พฤติการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าจะขนย้ายข้าวของกลางออกไปนอกราชอาณาจักร ต้องลงโทษด้วยมาตรา 13 ทวิ (1) แห่งพระราชบัญญัติที่กล่าวข้างต้น ดังนี้ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์เป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้ว ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัย

พิพากษายืน

Share