แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยไถคราดและขุดดินถมเหมืองน้ำสาธารณะทำให้โจทก์และบุคคลอื่นซึ่งมีนาอยู่บริเวณนั้น ไม่มีทางระบายน้ำหรือทดน้ำเข้านาได้ โจทก์ห้าม จำเลยเถียงว่าเหมืองน้ำผ่านกลางที่นาของจำเลย จำเลยมีสิทธิกลบถมได้ ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย และพิพากษาแสดงว่าทำนบพิพาท เหมืองน้ำพิพาทและคลองเป็นสาธารณะ คำฟ้องเช่นนี้เป็นทั้งคดีละเมิดและคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์
ในระหว่างพิจารณา ผู้ร้องสอดร้องขอเข้าเป็นคู่ความเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองบังคับตามสิทธิของตน โดยอ้างว่านาที่โจทก์อ้างว่าเหมืองน้ำผ่านเป็นของผู้ร้องสอด จำเลยทำไปโดยอาศัยสิทธิและความเห็นชอบของผู้ร้องสอด ดังนี้ เป็นการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) เมื่อได้ยื่นคำร้องขอมาถูกต้อง คือ คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาผู้ร้องสอดย่อมมีสิทธิเข้าเป็นคู่ความได้
การร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)นั้นแม้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ผู้ร้องสอดก็หาหมดสิทธิร้องสอดเข้าเป็นคู่ความไม่
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขุดเหมืองน้ำซึ่งจำเลยขุดดินถมให้มีสภาพเดิม เมื่อผู้ร้องสอดอ้างว่าเป็นเจ้าของนา ที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยขุดเหมืองน้ำ ย่อมเป็นกรณีพิพาทกันเกี่ยวถึงนาที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าเป็นเจ้าของ การที่ผู้ร้องสอดร้องเข้ามาจึงไม่เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของผู้ร้องสอด แล้วพิจารณาคดีไปโดยจำเลยขาดนัดพิจารณาและพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี เมื่อผู้ร้องสอดอุทธรณ์คำสั่ง และศาลอุทธรณ์เห็นว่าผู้ร้องสอดมีสิทธิเข้าเป็นคู่ความได้ จะพิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้รับคำร้องสอดไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยไม่พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเสียด้วยนั้น ยังไม่บริบูรณ์เพราะถ้าหากคำพิพากษาศาลชั้นต้นยังมีอยู่ ย่อมไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นขึ้นมาด้วย และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่แล้ว ซึ่งมีผลถึงผู้ร้องสอดด้วย ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องแก้ไข
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยไถคราดและขุดดิน ถม ทำลาย เหมืองน้ำสาธารณะ ซึ่งทดน้ำ ระบายน้ำ จากคลองหลุบจาน ห้ามคนอื่นใช้ทำนบและจับปลาในคลองเหนือทำนบ ทำให้โจทก์กับบุคคลอื่นได้รับความเสียหาย โจทก์ห้ามจำเลย จำเลยเถียงว่า เหมืองน้ำผ่านกลางนาของจำเลย จำเลยมีสิทธิกลบถมเสียได้ ขอให้พิพากษาว่าทำนบพิพาทเหมืองน้ำพิพาท และคลองหลุบจาน เป็นสาธารณะ จำเลยไม่มีสิทธิหวงห้าม ให้จำเลยขุดเหมืองน้ำพิพาทให้มีสภาพเดิมหรือให้จ่ายค่าแรงงานขุดและให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า นาที่โจทก์ฟ้องว่าเป็นของจำเลยความจริงเป็นของผู้ร้องสอดซึ่งเป็นบิดาจำเลย จำเลยทำไปโดยอาศัยสิทธิและความเห็นชอบของผู้ร้องสอด เมื่อจำเลยถูกฟ้อง ย่อมกระทบกระเทือนถึงสิทธิของผู้ร้องสอด ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาเพื่อให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง ตามสิทธิของผู้ร้องสอดที่มีอยู่ จึงขอร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความและขอยื่นคำให้การแก้ฟ้องโจทก์
วันนัดพิจารณาสืบพยานโจทก์ จำเลยขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว พิจารณาสั่งคำร้องของผู้ร้องสอดว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดให้โจทก์เสียหายเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยผู้ร้องสอดไม่ได้เกี่ยวในการทำละเมิดต่อโจทก์ ไม่เห็นสมควรให้ผู้ร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ ให้ยกคำร้อง แล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีโจทก์
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การฟ้องคดีของโจทก์กระทบกระเทือนสิทธิของผู้ร้อง (สอด) กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(1) ชอบที่จะให้ผู้ร้อง (สอด) เข้าต่อสู้คดีเพื่อคุ้มครองสิทธิของตน พิพากษากลับ ให้รับคำร้องสอดไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไถคราดและขุดดินถมเหมืองน้ำสาธารณะทำให้โจทก์และคนอื่นซึ่งมีนาอยู่บริเวณนั้นไม่มีทางระบายน้ำหรือทดน้ำเข้านาได้ โจทก์ห้ามจำเลยโต้เถียงว่าเหมืองน้ำนั้นผ่านมากลางที่นาของจำเลย จำเลยมีสิทธิกลบถมได้ คำขอท้ายฟ้องของโจทก์นอกจากขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแล้ว ยังขอให้พิพากษาแสดงว่าทำนบพิพาทเหมืองน้ำพิพาท คลองหลุบจาน เป็นสาธารณะด้วยศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องของโจทก์เป็นคดีละเมิดและคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ด้วย การที่ผู้ร้องสอดอ้างว่านาที่โจทก์อ้างว่าเป็นเหมืองน้ำผ่านเป็นของผู้ร้องสอด จำเลยทำไปโดยอาศัยสิทธิและความเห็นชอบของผู้ร้องสอด และร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความเพื่อให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องสอดที่มีอยู่ เป็นการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ทั้งได้ยื่นคำร้องขอมาถูกต้องคือ คดีอยู่ในระหว่างพิจารณา ผู้ร้องสอดจึงมีสิทธิเข้ามาเป็นคู่ความได้
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ผู้ร้องสอดหมดสิทธิร้องสอดนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ ผู้ร้องสอดร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) เพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง บังคับตามสิทธิของตน แม้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ผู้ร้องสอดก็หาหมดสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความไม่
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มิได้ฟ้องเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน การที่ผู้ร้องสอดร้องเข้ามาเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยขุดเหมืองน้ำที่จำเลยขุดดินถมให้มีสภาพเดิม และว่าจำเลยเถียงว่า เหมืองน้ำนั้นผ่านกลางนาของจำเลย จำเลยมีสิทธิกลบถมได้ เมื่อผู้ร้องสอดอ้างว่าเป็นเจ้าของนาที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยขุดเหมืองน้ำกรณีก็เป็นเรื่องพิพาทกันเกี่ยวถึงนาที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าเป็นเจ้าของ การที่ผู้ร้องสอดร้องเข้ามาจึงไม่เป็นเรื่อง นอกฟ้องนอกประเด็น
ฎีกาโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้รับคำร้องสอดไว้ดำเนินกระบวนพิจารณา โดยมิได้พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2)ด้วยนั้น ยังไม่บริบูรณ์ เพราะถ้าหากคำพิพากษาศาลชั้นต้นยังมีอยู่ย่อมไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ แต่อย่างไรก็ดี คดีนี้จำเลยได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นขึ้นมาด้วย และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาและ พิพากษาใหม่แล้ว ย่อมมีผลถึงผู้ร้องสอดด้วย ศาลฎีกาไม่จำต้องแก้ไข
พิพากษายืน