คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ ได้รับความเสียหายต้องสูญเสียที่ดินของโจทก์ไป จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่ดินที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ มิใช่ของโจทก์ และจำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์แม้จำเลยจะมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ว่าที่ดิน เป็นของจำเลย และตามคำฟ้องของโจทก์มิได้มีคำขอที่จะ บังคับแก่ที่ดินที่พิพาท แต่การที่จะพิจารณาว่าจำเลย กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ก็จะต้องพิจารณาด้วยว่าที่ดินที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ อันเป็นการพิจารณาถึงความเป็นอยู่แห่งอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์และฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ที่อันเป็นสาธารณประโยชน์อยู่ในอำนาจดูแลปกปักรักษาของนายอำเภอท้องที่ แม้โจทก์จะมีชื่อเป็นผู้ครอบครองและทำ ประโยชน์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แต่เมื่อนายอำเภอโต้แย้งว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะและดำเนินการที่จะเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ ก็ชอบที่โจทก์จะฟ้องร้องนายอำเภอเพื่อขอให้ระงับการกระทำอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เพราะโจทก์จะเสียสิทธิในที่พิพาทหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะหรือไม่ มิใช่อยู่ที่การกระทำของจำเลยซึ่งไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับที่อันเป็นสาธารณประโยชน์และถึงหากจำเลยจะมาช่วยเหลือในการรังวัดปักหลักเขตด้วย ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ทำละเมิดต่อโจทก์
(วรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2527)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1831เนื้อที่ 17 ไร่เศษ โดยได้รับยกให้จากบิดามารดา เมื่อเดือนกรกฎาคม 2522จำเลยทั้งห้าได้ทำการสำรวจเอาที่ดินของโจทก์ส่วนหนึ่งทางด้านทิศใต้ เนื้อที่4 ไร่เศษ อ้างว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์ แล้วทำรายงานต่อกำนันเพื่อดำเนินการให้นายอำเภอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ซึ่งต่อมาช่างรังวัดได้ทำการรังวัดเอาที่ดินดังกล่าวเป็นที่สาธารณประโยชน์ แล้วนายอำเภอได้มีหนังสือขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินนั้น การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นการละเมิดและทำให้โจทก์เสียหาย ที่ดินที่ถูกรังวัดไปมีราคา 10,000 บาท หากใช้ทำนาจะได้ข้าวปีละ 120 ถังเป็นเงิน 1,300 บาท ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งห้าชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์13,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งห้าให้การทำนองเดียวกันว่า การสำรวจรังวัดที่ดินไปออกหนังสือสำคัญเป็นที่สาธารณประโยชน์ เป็นอำนาจหน้าที่ของกำนันกับสภาตำบล จำเลยทั้งห้าไม่ได้เป็นผู้ทำการสำรวจ ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ไม่ใช่ที่ดินของโจทก์การที่นายอำเภอมีคำสั่งขับไล่โจทก์ ก็ไม่เกี่ยวกับจำเลย ที่ดินพิพาทราคาไม่ถึง 10,000 บาท คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งห้าไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เนื่องจากคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานละเมิดในจำนวนทุนทรัพย์ไม่เกินสองหมื่นบาท ถ้าหากมิใช่เป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ย่อมต้องห้ามอุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริง จึงสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำเมิดต่อโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องสูญเสียที่ดินของโจทก์ไปจำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ มิใช่ของโจทก์ และจำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ แม้จำเลยจะมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ว่าที่ดินเป็นของจำเลย และตามคำฟ้องของโจทก์มิได้มีคำขอที่จะบังคับแก่ที่ดินที่พิพาท แต่การที่จะพิจารณาว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่นั้น ก็จะต้องพิจารณาด้วยว่าที่ดินที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่อันเป็นการพิจารณาถึงความเป็นอยู่แห่งอสังหาริมทรัพย์ดังนั้น จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์และฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224, 248
ในปัญหาที่ว่า จำเลยได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่นั้น เห็นว่า ที่อันเป็นสาธารณประโยชน์นั้นอยู่ในอำนาจดูแลปกปักษ์รักษาของนายอำเภอท้องที่ ถึงแม้ที่พิพาทจะเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส.3 ก. ซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ แต่เมื่อนายอำเภอโต้แย้งว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะและดำเนินการที่จะเพิกถอน น.ส.3 ก. ของโจทก์ก็ชอบที่โจทก์จะฟ้องร้องนายอำเภอเพื่อขอให้ระงับการกระทำอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ไม่มีเหตุอย่างใดที่โจทก์จะมาฟ้องจำเลยทั้งห้าซึ่งไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับที่อันเป็นสาธารณประโยชน์ เพราะโจทก์จะเสียสิทธิในที่พิพาทหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะหรือไม่ มิใช่อยู่ที่การกระทำของจำเลยทั้งห้า ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งห้าได้ทำการสำรวจหรือนำชี้เอาที่พิพาทเป็นที่สาธารณะนั้น ข้อเท็จจริงก็ยังโต้เถียงกันอยู่ ถึงหากจำเลยทั้งห้าจะมาช่วยเหลือในการรังวัดปักหลักเขตด้วย ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งห้าเป็นผู้ทำละเมิดต่อโจทก์
พิพากษายืน

Share