คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7255/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สำเนาภาพถ่ายเช็คและสำเนาภาพถ่ายใบคืนเช็คเอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง และจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธถึงความถูกต้องของเช็คและใบคืนเช็คดังกล่าว เมื่อธนาคารตามเช็คที่ถูกปฏิเสธการจ่ายเงินทุกฉบับตั้งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ย่อมถือได้ว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ที่ศาลดังกล่าวได้ ตามป.วิ.พ. มาตรา 4 (1)
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยออกเช็คตามฟ้องเพื่อชำระหนี้เงินยืมให้โจทก์ แล้วธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับโดยระบุรายละเอียดของเช็คทุกฉบับพร้อมกับแนบสำเนาภาพถ่ายเช็คและสำเนาภาพถ่ายใบคืนเช็คมาท้ายฟ้องพร้อมทั้งคำขอบังคับ ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง ครบถ้วนแล้วส่วนมูลหนี้ตามเช็คจะเป็นการชำระหนี้สำหรับการกู้เงินครั้งใดเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ที่จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลรับฟังเช็คและใบคืนเช็คตามฟ้องโดยไม่มีการสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดโดยโจทก์เพียงแต่ระบุว่าเป็นหนี้จากการกู้ยืมหาเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งหมดได้ไม่นั้น ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับฟ้องเคลือบคลุม แต่เป็นปัญหาว่าตามคำฟ้องและคำให้การจะมีประเด็นที่ต้องสืบพยานกันต่อไปหรือไม่ ไม่มีผลทำให้ฟ้องที่ไม่เคลือบคลุมนั้นเปลี่ยนแปลงไป
ฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้อง จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธไว้ กลับให้การว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องให้บุคคลอื่น จึงฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท
เช็คตามฟ้องทุกฉบับเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินสดหรือสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 918เมื่อเช็คตามฟ้องตกมาอยู่ในความครอบครองของโจทก์ในฐานะผู้ถือ โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนเช็คมาโดยไม่สุจริตแต่ประการใด เพราะจำเลยให้การแต่เพียงว่าโจทก์จะได้รับเช็คตามฟ้องมาอย่างไร จำเลยไม่ทราบย่อมไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบว่าโจทก์ครอบครองเช็คมาโดยสุจริตหรือไม่จึงต้องฟังว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 904 ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องให้แก่ ม.เป็นการชำระดอกเบี้ยล่วงหน้าเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นโมฆะทั้งหมด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เป็นการยกข้อต่อสู้โจทก์ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยผู้สั่งจ่ายกับ ม.ผู้ทรงคนก่อนแต่คำให้การของจำเลยมิได้กล่าวอ้างต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนเช็คตามฟ้องจาก ม.ด้วยคบคิดกันฉ้อฉลกับโจทก์ จำเลยย่อมไม่มีประเด็นจะนำสืบในข้อนี้ ดังนั้นจำเลยซึ่งลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทซึ่งเป็นตั๋วเงินประเภทหนึ่งจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นในฐานะผู้สั่งจ่าย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 900 และ 914ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยนั้นชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างปี 2534 ถึงต้นเดือน พฤษภาคม 2537 จำเลยออกเช็คมอบให้โจทก์รวมประมาณ 1,000 ถึง 1,500 ฉบับ เพื่อชำระหนี้เงินยืม ซึ่งโจทก์สามารถเรียกเก็บเงินได้ แต่จำเลยยังมีหนี้เงินยืนที่จะต้องชำระให้โจทก์อีกประมาณ 7,000,000 บาท ซึ่งจำเลยได้ออกเช็คมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ดังกล่าวด้วยเช็คของธนาคาร 4 แห่งด้วยกัน เช็คธนาคารแรกเป็นเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสุราษฎร์ธานี จำนวน 42 ฉบับ ฯลฯ เช็คธนาคารที่ 2 เป็นเช็คธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาสุราษฎร์ธานี จำนวน66 ฉบับ ฯลฯ เช็คธนาคารที่ 3 เป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาถนนตลาดใหม่ สุราษฎร์ธานี จำนวน 12 ฉบับ ฯลฯ รวมเช็คทั้งสิ้นจำนวน 128 ฉบับ รวมเป็นเงิน 7,088,133 บาท ครั้นเมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนด โจทก์นำไปเข้าบัญชีที่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ จำกัดสาขาบ้านดอน เพื่อเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับ โจทก์ทวงถามจำเลยให้ชำระเงินตามเช็คแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 7,088,133 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยมีภูมิลำเนาตามที่โจทก์ฟ้องแต่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 92/310 หมู่ที่ 2 แขวงคลองกุ่มเขต บางกะปิ กรุงเทพมหานคร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นศาลชั้นต้น จำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ จำเลยไม่เคยขอกู้ยืมเงินโจทก์ โจทก์จะได้รับเช็คตามฟ้องมาอย่างไร จำเลยไม่ทราบจำเลยไม่เคยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ใด ๆ เช็คตามฟ้องจำเลยสั่งจ่ายให้แก่นายมานพ จงขจรพงศ์ เพื่อชำระค่าดอกเบี้ยล่วงหน้าเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นโมฆะทั้งหมด โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็ค โดยชอบด้วยกฎหมาย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่แสดงให้แจ้งชัดถึงข้อหาว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ ค่าอะไร จำนวนเท่าไรเมื่อใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 7,088,133 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องต่อศาลชั้นต้นหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าสำเนาภาพถ่ายเช็คและสำเนาใบคืนเช็คท้ายฟ้องจะรับฟังว่าเป็นคำฟ้องจะเป็นคำฟ้องเพื่อชี้ชัดว่าโจทก์ได้ฟ้องคดีต่อศาลมีมูลคดีเกิดขึ้นในศาลชั้นต้นดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยหาได้ไม่ เพราะศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิจารณาพิพากษาตามคำฟ้องโดยไม่มีการสืบพยานให้เห็นชัดว่าเช็คและใบคืนเช็คตามที่โจทก์อ้างเป็นเอกสารที่ถูกต้องหรือไม่ เห็นว่า สำเนาภาพถ่ายเช็คและสำเนาภาพถ่ายใบคืนเช็คเอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง และจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธถึงความถูกต้องของเช็คดังกล่าว เมื่อธนาคารตามเช็คที่ถูกปฏิเสธการจ่ายเงินทุกฉบับตั้งอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นย่อมถือได้ว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลชั้นต้น โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ที่ศาลชั้นต้นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 4(1)
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อ 1 ของจำเลยมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า มูลหนี้ตามเช็คต้องชอบด้วยกฎหมายและกระทำโดยสุจริต เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์หลายครั้งและออกเช็คตามฟ้องชำระหนี้ให้โจทก์ แต่มิได้ระบุว่ามูลหนี้ตามเช็คเป็นการชำระหนี้สำหรับการกู้เงินครั้งใด ย่อมไม่เพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ได้ ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุมเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยออกเช็คตามฟ้องเพื่อชำระหนี้เงินยืมให้โจทก์ แล้วธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับโดยระบุรายละเอียดของเช็คทุกฉบับพร้อมกับแนบสำเนาภาพถ่ายเช็คและสำเนาภาพถ่ายใบคืนเช็คมาท้ายฟ้องพร้อมทั้งคำขอบังคับ ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องทีแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ครบถ้วนแล้วส่วนมูลหนี้ตามเช็คจะเป็นการชำระหนี้สำหรับการกู้เงินครั้งใดเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ที่จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลรับฟังเช็คและใบคืนเช็คตามฟ้องโดยไม่มีการสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดโดยโจทก์เพียงแต่ระบุว่าเป็นหนี้จากการกู้ยืมหาเพียงพอที่จำทำให้จำเลยเข้าใจสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งหมดได้ไม่นั้น ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับฟ้องเคลือบคลุมแต่เป็นปัญหาว่าตามคำฟ้องและคำให้การจะมีประเด็นที่ต้องสืบพยานกันต่อไปหรือไม่ ไม่มีผลทำให้ฟ้องที่ไม่เคลือบคลุมนั้นเปลี่ยนแปลงไป
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายมีว่าศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในข้อนี้ชอบหรือไม่ และจำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ตามเช็คแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใดจำเลยฎีกาว่า จำเลยยกข้อต่อสู้ว่ามูลหนี้ตามเช็คไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะดอกเบี้ยเป็นโมฆะ หากรับฟังดังจำเลยต่อสู้ย่อมทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โดยไม่ต้องพิจารณาว่าจำเลยได้ยกข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยกับนายมานพจงขจรพงศ์ มาในคำให้การเพื่อเป็นประเด็น หรือไม่ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ทั้งปัญหาเรื่องดอกเบี้ยโมฆะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง บัญญัติว่า “ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น” สำหรับฟ้องโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องนั้น จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธไว้ กลับให้การว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องให้บุคคลอื่น จึงฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า เช็คตามฟ้องเป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายให้แก่นายมานพ อันเป็นนิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับนายมานพ ส่วนโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า เช็คตามฟ้องทุกฉบับเป็นเช็คสั่งจ่าย เงินสดหรือสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 918 เมื่อเช็คตามฟ้องตกมาอยู่ในความครอบครองของโจทก์ในฐานะผู้ถือโดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนเช็คมาโดยไม่สุจริตแต่ประการใด เพราะจำเลยให้การแต่เพียงว่าโจทก์จะได้รับเช็คตามฟ้องมาอย่างไร จำเลยไม่ทราบ ย่อมไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบว่าโจทก์ครอบครองเช็คมาโดยสุจริตหรือไม่ จึงต้องฟังว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องให้แก่นายมานพเป็นการชำระดอกเบี้ยล่วงหน้าเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นโมฆะทั้งหมดโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น เป็นการยกข้อต่อสู้โจทก์ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยผู้สั่งจ่ายกับนายมานพ ผู้ทรงคนก่อน ซึ่งในข้อนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 บัญญัติว่า “บุคคลทั้งหลายผู้ถูกฟ้องในมูลตั๋วแลกเงินหาอาจจะต่อสู้ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับผู้สั่งจ่ายหรือกับผู้ทรงคนก่อน ๆ นั้นได้ไม่ เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล” แต่คำให้การของจำเลยมิได้กล่าวอ้างต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนเช็คตามฟ้องจากนายมานพด้วยคบคิดกันฉ้อฉลกันโจทก์ จำเลยย่อมไม่มีประเด็นจะนำสืบในข้อนี้ ดังนั้น จำเลยซึ่งลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทซึ่งเป็นตั๋วเงินประเภทหนึ่งจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้น ในฐานะผู้สั่งจ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 และ 914 ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในข้อนี้ แล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยต้องกันมานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share