คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงโจทก์ฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาไม่มีทางเอาผิดแก่จำเลยได้แล้วปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาขึ้นมา ก็ไม่เป็นสารแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย (อ้างฎีกาที่ 321/2502)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายวรศักดิ์บิดาโจทก์กับนางถมยาและนายประหยัดได้ร่วมกันซื้อที่ดินนายชุ่ม โดยชำระเงินไปแล้วบางส่วน และทำหนังสือสัญญากันไว้ ต่อมาบิดาโจทก์ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 1 บุตรนางถมยาได้มาหลอกลวงเอาหนังสือสัญญาจากมารดาโจทก์ไป เมื่อมารดาโจทก์ไปทวงถาม จำเลยที่ 1 กับนางถมยาจึงได้ทำสัญญาซื้อขายแยกออกจากหนังสือสัญญาเดิมให้มารดาโจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสามหลอกลวงนายชุ่มว่ามารดาโจทก์ยอมขายที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสามและยอมเปลี่ยนสัญญาใหม่นายชุ่มจึงทำสัญญาซื้อขายให้จำเลยทั้งสามใหม่โดยระบุว่านายชุ่มขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 แล้วจำเลยที่ 2 ทำลายเอกสารสัญญาซื้อขายระหว่างนายชุ่มกับบิดาโจทก์กับพวก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังไม่มีพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต คดีไม่มีมูลว่าจำเลยกระทำผิดพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 มาขอดูสัญญาและพูดหลอกลวงมารดาโจทก์ว่าจะเอาสัญญาไปถามเจ้าพนักงานที่ดินดูว่าโฉนดที่ดินแปลงนี้จะออกหรือยัง มารดาโจทก์หลงเชื่อจึงมอบหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินให้ไปนั้น ความจริงเป็นอย่างไร ไม่ปรากฏในคำบรรยายฟ้อง คำบรรยายฟ้องของโจทก์ยังไม่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยน่าจะไม่มีเจตนากระทำผิดพิพากษายืน

โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์เป็นผู้เสียหาย และโจทก์บรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว ขอให้รับฟ้อง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย แต่ในการที่จะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาทำการฉ้อโกงโจทก์ จำเลยก็ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาไม่มีทางที่จะเอาผิดแก่จำเลยได้แล้ว ปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาก็ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242(1), 247 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 321/2502 นายเจนกิจ ปัจจักขภัติโจทก์ หลวงอนุวัตร์กรณีกับพวก จำเลย

พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์

Share