แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายถูกยิงมีบาดแผลหลายแห่ง เสียเลือดมากมีอาการช็อคคล้ายเป็นลม แต่ยังมีสติพูดได้ ได้เล่าให้พยานโจทก์ฟังว่าจำเลยเป็นคนยิงตน หลังจากเล่าไม่นานก็ถึงแก่ความตายเช่นนี้ ผู้ตายต้องรู้ตัวแน่ว่าตนจะต้องตายคำบอกเล่าของผู้ตายที่กล่าวในขณะที่รู้ตัวดีแล้วว่ากำลังใกล้จะตาย ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนี้กับพวกได้บังอาจร่วมกันใช้ปืนเป็นอาวุธยิงประทุษร้ายร่างกายนายชอบ รัตนพงษ์ หลายนัด โดยจำเลยเจตนาฆ่าให้ตาย นายชอบ รัตนพงษ์ ทนบาดเจ็บไม่ได้ ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
นายเชือน รัตนพงษ์ บิดาผู้ตายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้ว เห็นว่าถ้อยคำพยานโจทก์ฟังได้และเห็นว่า บันทึกคำให้การของผู้ตายที่ร้อยตำรวจโทปรีชาพนักงานสอบสวนได้บันทึกไว้ เป็นพยานที่รับฟังได้อีกชิ้นหนึ่งคือในบันทึกดังกล่าว ผู้ตายยืนยันว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงตน พยานเอกสารชิ้นนี้ โจทก์มีร้อยตำรวจโทปรีชาพนักงานสอบสวนผู้บันทึกมาเบิกความประกอบ กับทั้งมีนายแพทย์สุวิทย์ผู้ทำการรักษาผู้ตายก่อนตายมาเป็นพยานโจทก์ แสดงให้เห็นว่าก่อนตายผู้ตายยังพูดได้ มีสติดีได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พยานทั้งสองฟังตรงกัน ตาคำเบิกความของนายแพทย์สุวิทย์ว่า ผู้ตายมีอาการช็อคแล้วคล้าย ๆ จะเป็นลม แต่ยังมีสติดี เช่นนี้ ผู้ตายต้องรู้ตัวแน่นอนว่าคงจะต้องตาย หลังจากเล่าให้พยานฟังแล้วไม่นานผู้ตายก็ถึงแก่ความตายคำบอกเล่าของผู้ตายที่กล่าวในขณะที่รู้ตัวดีแล้วว่ากำลังใกล้จะตายย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย