คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าหนี้ได้รับเงินทดรองจ่ายร้อยละ 20 ของตั๋วแลกเงินแล้วทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องตามตั๋วแลกเงินที่นำมาขอรับชำระหนี้ให้กับธนาคารกรุงไทยโดยสมัครใจ ข้อตกลงดังกล่าวมิได้ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ไม่เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และธนาคารได้ใช้สิทธิเรียกร้องนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในหนี้จำนวนนี้ทั้งหมดแล้ว ดังนี้ เจ้าหนี้ย่อมไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้ซ้ำอีก

ย่อยาว

มูลคดีสืบเนื่องมาจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด บริษัทราชาเงินทุน จำกัดลูกหนี้ นางพรรณนิภา เรืองวิเศษ เจ้าหนี้ ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามตั๋วแลกเงิน 2 ฉบับพร้อมดอกเบี้ย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดเจ้าหนี้และลูกหนี้ตรวจคำขอรับชำระหนี้แล้ว ไม่มีเจ้าหนี้รายใดโต้แย้ง

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วเห็นว่า เจ้าหนี้ได้ทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องตามตั๋วแลกเงินที่นำมาขอรับชำระหนี้ให้กับธนาคารกรุงไทย จำกัด ไปแล้วและธนาคารกรุงไทย จำกัด ได้ใช้สิทธิเรียกร้องนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในหนี้จำนวนนี้ทั้งหมดไว้แล้ว เจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิจะนำหนี้ดังกล่าวมายื่นขอรับชำระหนี้ในคดีนี้อีกควรยกคำขอรับชำระหนี้เสียทั้งสิ้นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 107(1)

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้

เจ้าหนี้อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

เจ้าหนี้ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เจ้าหนี้โอนสิทธิเรียกร้องให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัดโดยสมัครใจ ข้อตกลงดังกล่าวมิได้ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ไม่เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมมีผลใช้บังคับได้ เมื่อเจ้าหนี้โอนสิทธิเรียกร้องให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด แล้ว เจ้าหนี้ย่อมไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้ซ้ำอีก ที่เจ้าหนี้ฎีกาว่าโอนสิทธิเรียกร้องเพียงร้อยละ 20 ที่เหลืออีกร้อยละ 80เจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ได้นั้น เห็นว่าขัดต่อสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องซึ่งเจ้าหนี้ได้โอนสิทธิที่มีสิทธิได้รับเงินส่วนเฉลี่ยที่จะได้รับทั้งหมดจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด ไปแล้ว จะแปลความดังที่เจ้าหนี้ฎีกาหาได้ไม่

พิพากษายืน

Share